การจำแนกสารอินทรีย์ระเหยจากหน้ากากอนามัยแบบใช้ครั้งเดียว

บทคัดย่อ

ปัจจุบันหน้ากากอนามัยเป็นอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่นิยมใช้สำหรับป้องกันการติดเชื้อโรค ที่แพร่กระจายทางอากาศและฝุ่นละอองขนาดเล็ก อย่างไรก็ดีหน้ากากอนามัยผลิตจากพอลิเมอร์ที่ปล่อยสารอินทรีย์ระเหยซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้สวมใส่ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจวัดเชิงปริมาณและคุณภาพของสารอินทรีย์ระเหยจากหน้ากากอนามัยแบบใช้ครั้งเดียวสำหรับใช้ทางการแพทย์และสำหรับใช้ทั่วไป อย่างละ 4 ผลิตภัณฑ์ ทำการทดลองโดยนำชิ้นส่วนตัวอย่างหน้ากากขนาด 1 x 5 ตร.ซม. ใส่ในขวดแก้วเก็บตัวอย่างขนาด 20 มล. ปิดฝาให้แน่นสนิท เขย่าตัวอย่างที่อุณหภูมิ 30 ^oซ. เป็นเวลา 24 ชม. ชักตัวอย่างสารอินทรีย์ระเหยด้วยเทคนิคโซลิดเฟสไมโครแอกแทรกชันและวิเคราะห์ด้วยเครื่องแก๊สโครมาโทรกราฟี-แมสสเปกโตรมิเตอร์ ผลการทดลองตรวจพบสารในกลุ่มแอลเคนเป็นหลักซึ่งมาจากวัตถุดิบของเส้นใยพอลิโพพิลีน และยังพบสารในกลุ่มคีโตน อะโรมาติก และแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจถูกเติมลงไปในกระบวนการผลิตหน้ากากอนามัย อัตราการปลดปล่อยสารอินทรีย์ระเหยรวม เท่ากับ 0.015-0.137 มคก./ตร.ม. ต่อชม. จากผลการวิเคราะห์ทางสถิติด้วยวิธีการถดถอยเชิงเส้น พบว่า จำนวนวันและชนิดของหน้ากากอนามัยไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p–value > 0.05) ต่อปริมาณสารอินทรีย์ระเหยรวมที่ปลดปล่อยออกมาจากหน้ากากอนามัย สำหรับแนวทางลดสารอินทรีย์ระเหยด้วยการให้หน้ากากผึ่งลมเป็นเวลา 3 วัน โดยประมาณ สามารถลดอัตราการปล่อยลงได้ 2-5 เท่า นอกจากนี้การกำหนดมาตรฐานการปล่อยสารอินทรีย์ระเหยจากหน้ากากอนามัยที่จำหน่ายในท้องตลาดจัดเป็นมาตรการควบคุมสินค้าที่ช่วยสร้างความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค