การประเมินปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM10) ด้วยวิธีประมาณค่าเชิงพื้นที่ ในบริเวณภาคเหนือของประเทศไทย
คำสำคัญ:
ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน, การประมาณค่าเชิงพื้นที่บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM10) ในบริเวณภาคเหนือกับปัจจัยทางกายภาพของพื้นที่ และประเมินปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน ด้วยวิธีประมาณค่าเชิงพื้นที่ (Interpolation) พร้อมทั้งศึกษาความเหมาะสมของแต่ละวิธีการ ผลการศึกษาพบว่า ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงของปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน เฉลี่ย 5 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2554-2558 มีปริมาณมากที่สุดในเดือนมีนาคม มีปริมาณเฉลี่ยจากทุกสถานีตรวจวัดเท่ากับ 107 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร รองลงมาคือเดือนกุมภาพันธ์และเมษายน โดยมีปริมาณเฉลี่ย 73 และ 66 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ และมีปริมาณเฉลี่ยน้อยที่สุดในเดือนสิงหาคม โดยมีปริมาณเฉลี่ย 19 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยเป็นรายสถานีตรวจวัดพบว่า สถานีอุตุนิยมวิทยาแพร่ จังหวัดแพร่ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือสถานีสำนักงานสาธารณสุขอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และสถานีอุตุนิยมวิทยาลำปาง ตามลำดับ การวิเคราะห์ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ซึ่งมีฝุ่นละอองขนาดเล็กในปริมาณสูง พบว่ามีลักษณะภูมิประเทศเป็นแอ่งที่ราบระหว่างภูเขาที่มีพื้นที่ขนาดเล็กและถูกจำกัดด้วยแนวภูเขาที่โอบล้อมอยู่ ทำให้การกระจายตัวของฝุ่นละอองไม่ดี ประกอบกับอยู่ใกล้กับประเทศเพื่อนบ้าน จึงได้รับฝุ่นละอองจากไฟป่าและการเผาในที่โล่งแจ้งที่ถูกพัดพามาจากหลายแห่งรวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านด้วย
เมื่อนำข้อมูลค่าเฉลี่ยปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน จากสถานีตรวจวัดของกรมควบคุมมลพิษ จำนวน 13 สถานีในบริเวณภาคเหนือ โดยเลือกข้อมูลจาก 9 สถานี มาทำการประมาณค่าเชิงพื้นที่ด้วยวิธีต่างๆ 5 วิธี ได้แก่ IDW, Natural Neighbor, Spline, Kriging และ Trend แล้วตรวจสอบความถูกต้องด้วยข้อมูลจาก 4 สถานี พบว่าการประมาณค่าเชิงพื้นที่ด้วยวิธี IDW เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการจัดทำแผนที่ประเมินปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน โดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมพาพันธ์ถึงเมษายนซึ่งมีปริมาณฝุ่นละอองมากที่สุด เนื่องจากมีค่าความแตกต่างระหว่างค่าที่ประเมินได้กับค่าที่ตรวจวัดจริงน้อยที่สุด ส่วนการประมาณค่าเชิงพื้นที่ด้วยวิธี Spline เป็นวิธีที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากมีค่าความแตกต่างระหว่างค่าที่ประเมินได้กับค่าที่ตรวจวัดจริงมากที่สุด
