การวิเคราะห์ปัจจัยรูปแบบสมรรถนะวิศวกรประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีศึกษา : จังหวัดนครราชสีมา
Main Article Content
บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ปัจจัยสมรรถนะของวิศวกรประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เหมาะสมและสามารถนำไปใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ โดยทำการประเมินผลการปฏิบัติงานด้านวิศวกรรมในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา
วิธีการวิจัย: ประชากรกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 91 แห่ง ประกอบด้วยองค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง เทศบาลนคร 1 แห่ง เทศบาลเมือง 4 แห่ง และเทศบาลตำบล 85 แห่ง จำนวน 303 คน ได้จากการสุ่มตัวอย่าง เครื่องมือวิจัยผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิ 2 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่านที่ประเมินค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างวัตถุประสงค์กับเนื้อหาของข้อคำถามได้ในช่วง 0.67 – 1.00 และผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 10 ท่านที่ประเมินค่าความเชื่อมั่นได้เท่ากับ 0.92 ข้อมูลที่ได้ถูกนำมาวิเคราะห์ปัจจัยเชิงสำรวจด้วยวิธีวิเคราะห์องค์ประกอบหลัก และวิเคราะห์ปัจจัยเชิงยืนยันเพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลกับข้อมูลเชิงประจักษ์
ผลการวิจัย: ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยสมรรถนะของวิศวกรประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เหมาะสมและสามารถนำไปใช้ได้จริง ประกอบด้วย 5 ปัจจัย ได้แก่ ด้านความรู้ ด้านทักษะ ด้านคุณลักษณะส่วนบุคคล ด้านทัศนคติ และด้านจริยธรรม โดยเฉพาะทักษะการทำสถิติและทัศนคติการเรียนรู้จากผู้อื่นที่มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบสูงที่สุด สะท้อนถึงความสำคัญของการวิเคราะห์ข้อมูลและการเรียนรู้เชิงปฏิสัมพันธ์ โมเดลทั้งสองมีค่าความแปรปรวนสะสมร้อยละ 70.229 และ 71.187 ตามลำดับ และมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ในระดับดี โดยมีค่าสถิติไคสแควร์สัมพัทธ์ (CMIN/DF) เท่ากับ 1.829 และ 1.867 ค่า IFI เท่ากับ 0.914 และ 0.913 ค่า TLI เท่ากับ 0.906 และ 0.905 ค่า CFI เท่ากับ 0.913 และ 0.911 และค่า RMSEA เท่ากับ 0.066 และ 0.068 ตามลำดับ
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น. (2566). กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น. สืบค้นเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2566, จาก https://www.dla.go.th/upload/ebook/column/2023/5/2365_6294.pdf
กัลยา วานิชย์บัญชา. (2557). การวิเคราะห์สมการโครงสร้าง (พิมพ์ครั้งที่ 2). สามลดา.
ฉัตรณรงค์ศักดิ์ สุธรรมดี และจินตกานด์ สุธรรมดี. (2560). การประยุกต์ใช้สมรรถนะ เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์. วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด, 11(1), 262–268.
ฐาปนี ช้างแรงการ และวิเชศ คำบุญรัตน์. (2565). แนวทางการพัฒนาสมรรถนะกลุ่มงานวิศวกรในส่วนงานจัดการทรัพย์สิน ร้านสาขาของบริษัท ABC. วารสารวิชาการ วิจัย และนวัตกรรม มสธ. (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์), 2(1), 52-62.
ณ.พงษ์ สุขสงวน, เลิศเลขา ศรีรัตนะ, กฤษดา พิศลยบุตร,วรานนท์ คงสง, นันท์นภัสร อินยิ้ม, บุญธรรมหาญพาณิชยุ์ และโกนิฏฐ์ ศรีทอง. (2566). การวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถนะที่จำเป็นของผู้ตรวจสอบระบบป้องกันอัคคีภัย. วารสาร มจร การพัฒนาสังคม, 8(1), 42-56.
พิชยา เจริญสุกใส, เชาวฤทธิ์ เชาว์แสงรัตน์, รัชยา ภักดีจิตต์ และสุพัตรา ยอดสุรางค์. (2566). การบริหารจัดการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสู่การเป็นองค์การสมรรถนะสูง. วารสาร Lawarath Social E-Journal, 5(1), 193-208.
พินิจ บุญนิธิดิลก, เอกภพ ซิ้มฉาย และพรทิพย์ ชุ่มเมืองปัก. (2561). การพัฒนาสมรรถนะผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมโยธาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน. Research and Development Journal, Loei Rajabhat University, 13(46), 67-77.
ศิลป์ชัย สีมาวงศ์อนันต์, กมลาศ ภูวชนาธิพงศ์ และสุวัฒสัน รักขันโท. (2563). แนวทางการพัฒนาสมรรถนะด้านจริยธรรมของบุคลากรสายวิศวกรรม. วารสาร มจร มนุษยศาสตร์ปริทรรศน์, 6(1), 365-379.
สถาบันที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในราชการ. (2557). คู่มือการกำหนดสมรรถนะสำหรับข้าราชการส่วนท้องถิ่น. สืบค้นเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2566, จาก https://chongmaew.go.th/public/list/data/detail/id/1739/menu/1573/page/1
สภาวิศวกร. (2565). คู่มือการประกอบวิชาชีพเพื่อเสริมสร้างความสามารถทางวิศวกรรม. สืบค้นเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2566, จาก https://coe.or.th/wp-ntent/uploads/2022/08/Handbook-การเลื่อนระดับวิชาชีพ-update.pdf
สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์. (2552). การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยทางสังคมศาสตร์ด้วย SPSS. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
เสน่ห์ จุ้ยโต. (2553). การพัฒนาขีดสมรรถนะบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น วารสารการจัดการสมัยใหม่. 8(2), 33-68.
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ. (2564). ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ (พ.ศ. 2564 – 2565). สืบค้นเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2566, จาก https://www.opdc.go.th/file/reader/Q2pwfHw2NDQ5fHxmaWxlX3VwbG9hZA
สำนักงานคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น. (2562). คู่มือและแนวทางปฏิบัติ. สืบค้นเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2566, จาก http://www.local.moi.go.th/newweb2019/web/download_file.php?filename=http://www.local.moi.go.th/newweb2019/web/assets/uploads/book/document/20190819_55830.pdf
Cerny, B. A., & Kaiser, H. F. (1977). A study of a measure of sampling adequacy for factor-analytic correlation matrices. Multivariate behavioral research, 12(1), 43-47. https://doi.org/10.1207/ s15327906mbr1201_3
Cronbach, L. J. (1990). Essentials of Psychology Testing. Harper.
Curran, P. J., West, S. G., & Finch, J. F. (1996). The robustness of test statistics to nonnormality and specification error in confirmatory factor analysis. Psychological methods, 1(1), 16–29. https://doi.org/10.1037/1082-989X.1.1.16
Gunning, S. K. (2015). Identifying Latent Variables in Nonprofit Proposal Writing: Results of Two Structural Equation Models. In SIGDOC’15: Proceedings of the 33rd Annual International Conference on the Design of Communication, No.39, 1-7. https://doi.org/10.1145/ 2775441.2775468
Hair, J. F., Black, W. C., Babin, B. J., & Anderson, R. E. (2010). Multivariate Data Analysis (7th ed.). Pearson.
Hassan, A., Saeed, M., & Rehman, C. A. (2016). Developing a competency model for public sector employees: An empirical study. Abasyn Journal of Social Sciences, 9(1), 67–84.
Rovinelli, R. J., & Hambleton, R. K. (1977). On the use of content specialists in the assessment of criterionreferenced test item validity. Tijdschrift voor Onderwijsresearch, 2(2), 49–60.
Schumacker, R. E., & Lomax, R. G. (2010). A beginners guide to structural equation modeling. Routledge.
Williams, B., Onsman, A., & Brown, T. (2010). Exploratory factor analysis: A five-step guide for novices. Australasian Journal of Paramedicine, 8(3), 1-13.
Zhang, G., & Preacher, K. J. (2015). Factor rotation and standard errors in exploratory factor analysis. Journal of Educational and Behavioral Statistics, 40(6), 579-603. https://doi.org/10.3102/1076998615606119