การเปรียบเทียบวิธีหาหลุมยุบและการวิเคราะห์การกระจายตัวบนภูมิประเทศแบบคาสต์
คำสำคัญ:
หลุมยุบ, การศึกษาเปรียบเทียบ, การหาหลุมยุบแบบอัตโนมัติ, รูปแบบการกระจายเชิงพื้นที่บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบวิธีการหาหลุมยุบ (Sinkhole) แบบอัตโนมัติจากแบบจำลองความสูงภูมิประเทศเชิงเลข (Digital Elevation Model: DEM) จาก 3 วิธีการ ประกอบด้วย 1) วิธีการสร้างแบบจำลองหลุมยุบอัตโนมัติ (Automated Identification Model for Sinkhole: AIM SINK) 2) วิธีการถมหลุม (FILL) และ 3) วิธีการทางดัชนีตําแหน่งภูมิประเทศ (Automated generation of depressions by Topographic Position Index: TPI) จากนั้นทำการวิเคราะห์ค่าการกระจายตัวของหลุมยุบบนภูมิประเทศแบบคาสต์ จากดัชนีของจุดอื่นข้างเคียงใกล้ที่สุด (Nearest Neighbor Index) 2 พื้นที่ ได้แก่ ในพื้นที่ศึกษาที่ 1 วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (KNNN) จังหวัดเชียงราย และพื้นที่ศึกษาที่ 2 สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง (AK) จังหวัดเชียงใหม่ ผลการศึกษาพบว่าในพื้นที่ศึกษา AK วิธี AIMSINK FILL และTPI มีความถูกต้องเชิงตำแหน่ง คิดเป็น 87 เปอร์เซ็นต์ 71 เปอร์เซ็นต์ และ 64 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ซึ่งค่าการกระจายตัวของหลุมยุบในวิธี FILL (0.73) มีค่าตรงกับค่าหลุมยุบจริงในพื้นที่ศึกษา AK (0.73) และวิธี TPI (0.61) ใกล้เคียงค่าหลุมยุบจริงในพื้นที่ศึกษา KNNN (0.63) จากผลการศึกษาสามารถสรุปได้ว่า วิธี TPI หลุมยุบจะมีขนาดเล็กและมีพื้นที่ร่องเขารวม อยู่ด้วย ส่วนวิธี AIM SINK เหมาะสำหรับการหาหลุมยุบ แต่มีข้อจำกัดหากในพื้นที่จริงเป็นพื้นที่ลักษณะ ภูมิประเทศแบบแอ่งกระทะ ดังนั้นวิธี FILL เหมาะสมมากที่สุดสำหรับการหาพื้นที่หลุมยุบขนาดใหญ่บนพื้นที่ภูมิประเทศแบบคาสต์
