การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา เรื่องแหล่งกำเนิดไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และการประยุกต์ใช้งานสำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

ผู้แต่ง

  • สีแพร ธรรมนาม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
  • กิติพงค์ มะโน ภาควิชาครุศาสตร์วิศวกรรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
  • ปิยะ ศุภวราสุวัฒน์ ภาควิชาครุศาสตร์วิศวกรรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

คำสำคัญ:

การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา, ประสิทธิภาพ, ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา เรื่อง แหล่งกำเนิดไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และการประยุกต์ใช้งาน สำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2) หาประสิทธิภาพ การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา เรื่อง แหล่งกำเนิดไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และการประยุกต์ใช้งาน สำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 3) หาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา เรื่อง แหล่งกำเนิดไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และการประยุกต์ใช้งาน สำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ประชากรที่ใช้ในงานวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านห้วยปลาหลด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จำนวน 20 คน ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี รหัสวิชา 23101 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา เรื่อง แหล่งกำเนิดไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และการประยุกต์ใช้งาน สำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แบบประเมินคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา เรื่อง แหล่งกำเนิดไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และการประยุกต์ใช้งาน สำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีคุณภาพอยู่ในระดับดี (gif.latex?\bar{x}  = 4.13, S = 0.15) ประสิทธิภาพเท่ากับ 82.37/84.50 และความพึงพอใจของนักเรียนอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด (µ = 4.67, σ = 0.19)

เอกสารอ้างอิง

[1] Porntip Siriputtrachai. 2014. STEM Education and 21st Century Skills Development. Journal of Management, 33(2), p. 49-56.

[2] Varinporn Funfuengfu. 2019. STEM EDUCATION. Journal of Industrial Education, 15(3), p. 198-203.

[3] Suchard Punchard. 2003. Teaching problems of Careers and Technology primary 4 teachers in Phetchaburi province. Master of Education. Business Studies, Srinakharinwirot University.

[4] Pannee Leekitwattana. 2011. Educational Research Methodology. 7thed. Bangkok: Faculty of Industrial Education, King Mongkut's Institute of Technology Ladkrabang.

[5] Chaiyong Promwong Somchao Netprasert and Suda Sinsakul. 1977. Teaching media. Bangkok: Chulalongkorn University.

[6] Pannee Leekitwattana. 1997. Statistics for Research Measurement of Distribution Teaching Materials. Bangkok: Faculty of Industrial Education King Mongkut's Institute of Technology Ladkrabang. (Brochure).

[7] Pannee Leekitwattana. 1997. Statistics for Research Measuring Trends in the Central Teaching Materials. Bangkok: Faculty of Industrial Education, King Mongkut's Institute of Technology Ladkrabang. (Brochure).

[8] The Institute for the Promotion of Teaching Science and Technology (IPST). 2014. STEM Education. Bangkok: The Institute for the Promotion of Teaching Science and Technology (IPST) Ministry of Education.

[9] Pornsawad Songkhwae. 2015. Development of STEM learning units to enhance scientific literacy in the topic of preservation land and rock of Maehongson for Prathomsuksa. Master of Education, Curriculum and instruction, Naresuan University.

[10] Thanyalak Chareonpongtanakul. 2014. The teaching and learning of STEM Education in conjunction with the use of the CHROMOSOME GAME series on the inheritance Science Applied for 2 nd year Diploma students vocational college. Dusit Commercial College. [Online]. Retrieved from: https://pvca-ri.com/myfile/170116085741_1.pdf (October 18, 2016).

[11] Nassrin Besa. 2015. Effects of STEM Education Approach on Biology Achievement, Problem Solving Ability and Instructional Satisfaction of Grade 11 Students. Master of Education, Teaching Science and Mathematics, Prince Songkla University.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2017-12-29

รูปแบบการอ้างอิง

ธรรมนาม ส., มะโน ก., & ศุภวราสุวัฒน์ ป. (2017). การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา เรื่องแหล่งกำเนิดไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และการประยุกต์ใช้งานสำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. วารสารครุศาสตร์อุตสาหกรรม, 16(3), 38–44. สืบค้น จาก https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/JIE/article/view/129079

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย