การพัฒนารูปแบบการจัดการความมั่นคงทางอาหารในครัวเรือน
คำสำคัญ:
การพัฒนา, รูปแบบ, การจัดการ, ความมั่นคงทางอาหาร, ครัวเรือนบทคัดย่อ
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อศึกษาเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของความรู้เรื่องความมั่นคงทางอาหาร สิ่งแวดล้อมศึกษาแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมการบริโภคอาหาร และผลสัมฤทธิ์การอบรม ระหว่างก่อนและหลังอบรมและพัฒนาแม่บ้านต้นแบบให้สามารถเป็นวิทยากรที่จะนำความรู้ที่ได้รับจากการอบรมไปถ่ายทอดแก่แม่บ้านด้วยกันเป็นการวิจัยกึ่งทดลองที่ใช้ การประชุมเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วมแบบพาอิก ที่บูรณาการด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพการอภิปรายกลุ่มย่อย การประเมิน 3 ด้าน เพื่อประเมินการมีส่วนร่วมและการประเมิน 4 ด้าน เพื่อประเมินการแสดงบทบาทสมมุติการเป็นวิทยากร เครื่องมือเป็นแบบสอบถาม ได้จากการสุ่มตัวอย่างกลุ่มตัวอย่างจากแม่บ้าน 37 คน ในอำเภอนา-เชือก จังหวัดมหาสารคามแบบเฉพาะเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนดคือการมีจิตสาธารณะและให้คำมั่นว่าจะมีส่วนร่วมตลอดกระบวนการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ Paired Sample t-test เพื่อเปรียบเทียบความรู้ก่อนและหลังการอบรม และ One Way ANOVA เพื่อเปรียบเทียบผลการประเมิน 3 ด้านและผลการประเมิน 4 ด้าน
ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยของความรู้เรื่องความมั่นคงทางอาหาร สิ่งแวดล้อมศึกษา แรงบันดาลใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมการบริโภคอาหาร และผลสัมฤทธิ์การอบรม หลังการอบรมมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการอบรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01, 0.01, 0.01, 0.01, และ 0.01 ตามลำดับ รวมทั้งได้แม่บ้านเป็นวิทยากรต้นแบบที่สามารถถ่ายทอดความรู้เรื่องการจัดการความมั่นคงทางอาหารในครัวเรือน ระหว่างการอบรมมีการประเมิน 3 ด้านเพื่อประเมินการมีส่วนร่วมของผู้รับการฝึกอบรม พบว่า คะแนนเฉลี่ยการประเมินตนเองการประเมินโดยเพื่อนและการประเมินโดยผู้อำนวยความสะดวกในสถานการณ์อดีตพบว่าแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ส่วน ในสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต แตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 0.05 นอกจากนี้การประเมินคุณลักษณะของการแสดงบทบาทสมมุติการเป็นวิทยากรด้วยการประเมิน 4 ด้าน พบว่า คะแนนเฉลี่ยการประเมินตนเอง การประเมินโดยเพื่อนวิทยากร การประเมินโดยผู้ฟัง และการประเมินโดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญแตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
เอกสารอ้างอิง
[2] Isvilanonda, S. et al,. (2009). Food Security in Thailand: Status, Rural Poor Vulnerability, and Some Policy Options. A paper presented at the international seminar on “Agricultural and Food Policy Reforms: Food Security from the Perspective Prototype TDEs FDEs PAIC of Asian Small-scale Farmers” held in Seoul on 24-28 August 2009.
[3] Sanpolgrung, N. (2013). Attitudes TowardsEnvironmental Management System ISO14001: 2004 of Operative Employees in Somboon Advance Technology Public Company Limited. Journal of Industrial Education. 12(3).
[4] Thiengkamol, N. (2009a). The Great Philosopher: the Scientist only know but Intuitioner is Lord Buddha. Bangkok: Prachya Publication.
[5] Thiengkamol, N. (2009b). The Happiness and the Genius can be created beforeBorn. Bangkok: Prachya Publication.
[6] Bickel, G.; Nord, M., Price, C., Hamilton, W., & Cook, J. (2000). Measuring Food Security in the United States. USDA Food and Nutrition Service.
[7] FAO. (2006). Food Security.Netherlands: FAO’s Agriculture and Development Economics Division (ESA).
[8] Kotchachote, Y., Thiengkamol, N.,&Thiengkamol Khoowaranyoo, T. (2013a).Casual Relationship Model of Forest Fire Prevention. European Journal of Scientific Research, 104 (3), p. 519-532.
[9] Langly, A. (1998). “The Roles of Formal Strategic Planning” Long Range Planning.Vol. 21, No.1 p. 3-120.
[10] Sproull, N.L. (1995). Handbook of Research Method: A Guide for Practitioners and Scientific teachers in the Social Science.(2nd ed.). Metuchen, NJ: Scarecrow Press.
[11] Tumpracha, K. Thiengkamol, N., & Thiengkamol, C. (2012b). Causal Relationship Model ofSecurity Management. Mediterranean Journal of Social Sciences, 3 (11), p. 625-636.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
"ข้อคิดเห็น เนื้อหา รวมทั้งการใช้ภาษาในบทความถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน"