การพัฒนาห้องเรียนที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วยการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์และการเรียนรู้ แบบค้นพบผ่านการใช้เทคโนโลยีโซเชียลมีเดียเพื่อส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนและความพึงพอใจในการเรียน

ผู้แต่ง

  • Patchara Vanichvasin สาขาวิชาธุรกิจและคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

คำสำคัญ:

ห้องเรียนที่มีปฏิสัมพันธ์, การเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์, การเรียนรู้แบบค้นพบ, โซเชียลมีเดีย, การมีปฏิสัมพันธ์, ผลสัมฤทธิ์ในการเรียน, ความพึงพอใจในการเรียน

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาห้องเรียนที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วยการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์และการเรียนรู้แบบค้นพบผ่านการใช้เทคโนโลยีโซเชียลมีเดีย 2) ตรวจสอบการมีปฏิสัมพันธ์ และผลสัมฤทธิ์ในการเรียนหลังการใช้ห้องเรียนที่มีปฏิสัมพันธ์ 3) ศึกษาความพึงพอใจในการใช้ห้องเรียนที่มีปฏิสัมพันธ์ กลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นิสิตระดับปริญญาตรีที่ลงทะเบียนเรียนวิชาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้คือ 1) แบบสอบถามความต้องการจำเป็นในการเรียนรู้ 2) สมุดเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ 3) แบบสอบถามความเหมาะสมของห้องเรียนที่มีปฏิสัมพันธ์ 4) แบบสังเกตการมีปฏิสัมพันธ์ด้วยการเรียนรู้แบบค้นพบ 5) แบบประเมินการมีปฏิสัมพันธ์ด้วยการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์และแบบค้นพบ 6) แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน 7) แบบประเมินความพึงพอใจต่อห้องเรียนที่มีปฏิสัมพันธ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ การวิเคราะห์เนื้อหา  ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที (t-test)

ผลการวิจัยพบว่า

1) ห้องเรียนที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วยการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์และการเรียนรู้แบบค้นพบประกอบด้วยสมุดเรียนรู้ที่มีปฏิสัมพันธ์ครอบคลุมเนื้อหาการจัดการทรัพยากรมนุษย์และเทคโนโลยีโซเชียลมีเดียที่เป็นโปรแกรมทำงานผ่านเว็บไซต์ โดยห้องเรียนห้องเรียนที่มีปฏิสัมพันธ์นี้ได้บูรณาการความต้องการจำเป็นในการเรียนรู้ด้วยการใช้การจำลองสถานการณ์ การแสดงบทบาทสมมติ กรณีศึกษาจากเหตุการณ์จริง กิจกรรมการแก้ปัญหา การฝึกปฏิบัติจริงและการพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสิทธิภาพของห้องเรียนที่มีปฏิสัมพันธ์ได้รับประเมินจากผู้เชี่ยวชาญว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ( gif.latex?\bar{x}= 4.92, S.D. = 0.13) ในระดับมากที่สุดด้านเนื้อหา โครงสร้างและการนำเสนอเพื่อนำไปใช้ตรวจสอบการมีปฏิสัมพันธ์ ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนและความพึงพอใจในการเรียน 

2) สำหรับการมีปฏิสัมพันธ์ ค่าเฉลี่ยของการเรียนรู้แบบค้นพบที่สังเกตโดยผู้สอนอยู่ในระดับสูงมากที่สุดที่ 4.93 ค่าเฉลี่ยของการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์และแบบค้นพบอยู่ในระดับสูงมากที่ 4.20 สำหรับผลสัมฤทธิ์ในการเรียน ค่าเฉลี่ยคะแนนก่อนใช้ห้องเรียนที่มีปฏิสัมพันธ์อยู่ที่ 54.50 และหลังการใช้ห้องเรียนที่มีปฏิสัมพันธ์มีค่าเฉลี่ยคะแนนอยู่ที่ 87.80 จากคะแนนเต็ม 100 คะแนนตามลำดับโดยค่าเฉลี่ยหลังการใช้ห้องเรียนที่มีปฏิสัมพันธ์สูงกว่าก่อนการใช้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05

3) ความพึงพอใจในการเรียนต่อห้องเรียนที่มีปฏิสัมพันธ์อยู่ในระดับดี (gif.latex?\bar{x}= 4.44, S.D. = 0.58) ผู้เรียนพบว่า ห้องเรียนที่มีปฏิสัมพันธ์เป็นวิธีเรียนที่ดี แปลกใหม่ สนุกสนาน น่าสนใจและจูงใจให้เรียนโดยสามารถแลกเปลี่ยนและเห็นคำตอบจากมุมมองแตกต่าง อีกทั้งคิดเห็นว่า วิธีนี้เป็นแนวปฏิบัติที่ดีในการเรียนรู้ด้วยการค้นพบคำตอบรวมทั้งมีความง่ายที่จะเข้าร่วมและมีปฏิสัมพันธ์ในห้องเรียน

ผลวิจัยสามารถสรุปได้ว่า ห้องเรียนที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วยการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์และการเรียนรู้แบบค้นพบผ่านการใช้เทคโนโลยีโซเชียลมีเดียสามารถนำมาใช้เพื่อส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนและความพึงพอใจในการเรียนเพื่อผลลัพธ์ทางบวกได้ แต่การพัฒนาห้องเรียนที่มีปฏิสัมพันธ์ให้มีประสิทธิภาพได้นั้นต้องคำนึงถึงการบริหารเวลา เทคโนโลยีที่เลือกใช้และขีดความสามารถในการสอนของผู้สอนด้วย

เอกสารอ้างอิง

[1]Fatina Wonglakha. 2015. Teaching and Learning in Digital Era. Daily News. Retrieved March 20, 2016 from http://www.dailynews.co.th/education/358284.

[2] Voller, S., Blass, E., & Culpin, V. 2011. The Future of Learning: Insights and Innovations from Executive Development. New York: Palgrave Macmillan.

[3] Saxena, S 2013. How important is use of technology in education. Retrieved May 6, 2016, from http://www.edtechreview.in/news/681-technology-in-education.

[4] Ferdig, R.E. 2007. Editorial: Examining social software in teacher education. Journal of Technology and Teacher Education, 15 (1), p. 5-10.

[5] Davis, C., Deil-Amen, R., Rios-Aguilar, C. & Gonzalez Canche, M.S. 2012. Social Media in Higher Education: A Literature Review and Research Directions. Retrieved June 25, 2016, from http://www.academia.edu/1220569/Social_Media_in_Higher_Education_A_Literature_Review_and_Research_Directions

[6] Al-Tarawneh, H.A.. 2004. The Influence of Social Networks on Students’ Performance. Journal of Emerging Trends in Computing and Information Sciences, 5 (3), p. 200-205.

[7] Wikipedia. 2016. Interactive Learning. Retrieved April 5, 2016, from https://en.wikipedia.org/wiki/Interactive_Learning

[8] Agrawal, V. 2016. The New Age of Interactive Learning through Social Media. Retrieved April 25, 2016, from https://elearningindustry.com/new-age-interactive-learning-social-media

[9] Paliszkiewicz, J., Koohang, A. 2016. Social Media and Trust: A Multinational study of University Students. Santa Rosa, California: Informing Science Press.

[10] Poore, M. 2013. Using Social Media in the Classroom: A Best Practice Guide. London: SAGE Publications.

[11] Bidgoli, H. 2010. The Handbook of Technology Management: Supply Chain Management, Marketing and Advertising, and Global Management Volume 2. Canada: John Wiley & Son, Inc.

[12] Lam, J. 2015. Collaborative Learning Using Social Media Tools in a Blended Learning Course. In International Conference on Hybrid Learning and Continuing Education. ICHL 2015: Hybrid Learning: Innovation in Education Practices, p.187-198.

[13] Wikipedia. 2016. Social Media. Retrieved May 25, 2016, from http:// https://en.wikipedia.org/wiki/Social_media

[14] Ouf, S., Nasr, M. & Helmy, Y. 2010. An enhanced e-learning ecosystem based on an integration between cloud computing and web 2.0. In IEEE International Symposium on Signal Processing and Information Technology (ISSPIT). Helwan, Egypt. Retrieved April 25, 2016, from http://www.ieeexplore.ieee.org/stamp/stamp.jsp?tp=&arnumber=5711721

[15] Schank, R.C., & Cleary, C. 1995. Engines for Learning. Hillsdale, NJ: Lawrence Erlbaum Associates.

[16] Bruner, J.S. 1966. Some Elements of Discovery. In L.S. Shulman, E.R. Keislar (Ed.), Learning by Discovery: A Critical Appraisal (pp. 104-111). Chicago: Rand McNally.

[17] Rezak, C.J. 2009. Improving Corporate Training Results with Discovery Learning Methodology. Retrieved April 25, 2016 from http://www.paradigmlearning.com/.../WP_Discovery_Learning.pdf.

[18] Patchara Vanichvasin. 2016. The Development of an Interactive Learning Book based on Interactive Learning and Discovery Learning to Enhance Student Interaction and Achievement. Instructional Handouts in Human Resources Management Subject for Business and Computer Education. Bangkok: Kasetsart University.

[19] Vatcharaphong Yosai, Attaporn Ridhikerd & Chantana Viriyavejakul. 2013. Effects of Achievement and Retention on Web-Based Instruction on Workshop Practicum. Journal of Industrial Education, 12 (3), p. 168-173.

[20] Hopkins, B. 2016. Advantages of Using Social Media for Students in Education. Retrieved April 30, 2016, from https://www.academiaapps.com/advantages-social-media-education/

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2017-08-31

รูปแบบการอ้างอิง

Vanichvasin, P. (2017). การพัฒนาห้องเรียนที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วยการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์และการเรียนรู้ แบบค้นพบผ่านการใช้เทคโนโลยีโซเชียลมีเดียเพื่อส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนและความพึงพอใจในการเรียน. วารสารครุศาสตร์อุตสาหกรรม, 16(2), 180–189. สืบค้น จาก https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/JIE/article/view/120510

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย