การศึกษาศิลปวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อเพื่อการออกเเบบพัฒนาเครื่องประกอบการเเต่งกาย
Main Article Content
บทคัดย่อ
การศึกษาศิลปวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาศิลปวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ 2) เพื่อออกเเบบผลิตภัณฑ์จากศิลปวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ 3) เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์ใช้การวิจัยเเบบผสมผสาน (Mixed Methodology) โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชากรและกลุ่มตัวอย่างคือกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อจำนวน 4 จังหวัด คือ พะเยา เชียงราย เชียงใหม่ และ น่าน ใช้เกณฑ์การคัดเลือกโดยการสุ่มแบบเจาะจงโดยใช้แบบสัมภาษณ์มาเป็นข้อมูลเพื่อวิเคราะห์หาแนวทางประยุกต์ใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ ส่วนขั้นตอนการพัฒนาและออกแบบใช้กระบวนการวิเคราะห์ทฤษฏีการกระจายหน้าที่เชิงคุณภาพเพื่อให้มาซึ่งรูปแบบของผลิตภัณฑ์ โดยมีผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบประเมินผลการออกแบบนำข้อเสนอเเนะมาพัฒนาเพื่อสร้างต้นเเบบของผลิตภัณฑ์เเละประเมินความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์โดยใช้ค่าสถิติ ได้เเก่ ค่าเฉลี่ยร้อยละเเละค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยการศึกษาศิลปวัฒนธรรมไทลื้อจากการสัมภาษณ์ลงพื้นที่ภาคสนามได้ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลโดยทฤษฎีกระบวนการตัดสินใจเชิงลำดับ (Analytic Hierarchy Process) พบว่าสิ่งที่สามารถบ่งบอกถึงความเป็นอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ คือด้านผ้าทอที่มีความเหมาะสมนำมาประยุกต์ใช้ในการออกเเบบผลิตภัณฑ์เครื่องประกอบการแต่งกาย พบว่าผู้เชี่ยวชาญที่ให้ค่าคะแนน กระเป๋าสตรีรูปแบบที่ 1 มากที่สุดมีค่าเท่ากับ (= 4.69, SD.=0.454) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดที่นำมาประยุกต์ใช้กับลวดลายของผ้าทอไทลื้อลายน้ำไหลสีสันสดใสที่สื่อถึงความป็นเอกลักษณ์ของศิลปหัตถกรรมผ้าทอไทลื้อ ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายและผลการประเมินความพึงพอใจที่ผู้บริโภคมีต่อผลิตภัณฑ์เครื่องประกอบการแต่งกายจำนวน 100 คน พบว่าค่าคะแนนด้านประโยชน์ใช้สอย มีความเหมาะสมมาก (
= 4.14, S.D.=0.62) ด้านความงามและเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นมีความเหมาะสมมาก (
= 4.07, S.D.=0.62) ด้านราคาที่เหมาะสม มีระดับความเหมาะสมมาก (
= 3.85,S.D.=0.65)ด้านคุณค่าและความงามศิลปวัฒนธรรม ความเหมาะสมมากอยู่ที่ (
= 3.95,S.D.=0.60) ด้านส่งเสริมการขายมีความเหมาะสม (
= 3.55, S.D.=0.76)
Article Details
"ข้อคิดเห็น เนื้อหา รวมทั้งการใช้ภาษาในบทความถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน"
References
[2] ทรงศักดิ์ ปรางค์วัฒนากุล. 2551. มรดกวัฒนธรรมผ้าทอไทลื้อ. เชียงใหม่ : มูลนิธิโตโยต้าเเห่งประเทศญี่ปุ่นธนาคารเเห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ
[3] สิริวรรณ วงษ์ทัต. 2554. ผ้าไทย. ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน.วารสารคณะมนุษยศาสตร์เเละสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา : สืบค้น วันที่ 8 มิถุนายน 2558 จาก http://www.thaistudies.chula.ac.th/database/m13-05-detail.php?id=8972
Wongtat.S.2011. Thailand Fabric. Arts and Crafts.Journal of the Humanities, SocialSciencesundertakings University. Retrieved on June, 2558 from.http://www.thaistudies.chula.ac.th/database/m13-05-detail.php?id=8972 .
[4] เอกวิทย์ ณ ถลาง. 2546. ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับการจัดการความรู้. กรุงเทพฯ : อมรินทร์.
[5] วัฒนะ จูฑะวิภาต. 2545. ศิลปะพื้นบ้าน. กรุงเทพฯ : สิปประภา.
[6] วิฑูรย์ ตันศิริคงคล. 2542. AHP กระบวนการตัดสินใจที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก. กรุงเทพฯ : กราฟิก แอนด์ ปริ้นติ้ง.
[7] นิรัช สุดสังข์. 2548. ออกเเบบอุตสาหกรรมระบบเเละวิธีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.
[8] อุดมศักดิ์ สาริบุตร. 2549. เทคโนโลยีผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.
[9] มณฑลี ศาสนนันทน์ . 2550. การออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมและวิศวกรรมย้อนรอย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
[10] ฟิลิปคอตเลอร์ . 2550. การตลาดฉบับคอตเลอร์กลยุทธ์สร้างความเป็นเลิศทางการตลาด, เเปลเเละเรียบเรียงโดย เมธา ฤทธานนท์.
กรุงเทพฯ: พิฆเณศ พริ้นติ้ง.
[11] สุธาสินีน์ บุรีคำพันธุ์ . 2556. การศึกษาภูมิทัศน์วัฒนธรรมชุมชนย่านวัดพระธาตุหริภุญชัยเพื่อการออกเเบบผลิตภัณฑ์สาธารณะ. วารสารครุศาสตร์อุตสาหกรรม, 13(2), น 81-88.
Bureekhampun.S . 2013. A Study on the Cultural landscape of Wat Phra That Hariphunchai Community to Design Public Facility. Journal of Industial Education, 13(2), p 81-88.