การเคลื่อนย้ายและการดูดซึมโลหะหนักโดยผักกาดเขียวปลี ตามระดับการปนเปื้อนของดิน

Main Article Content

วภากร ศิริวงศ์
เบญจมาศ อุ่นศรี
สุทธิชัย อินทปนาม

บทคัดย่อ

การศึกษาการเคลื่อนย้ายของธาตุโลหะหนัก ได้แก่ แคดเมียม สังกะสี ทองแดง ตะกั่ว และ โครเมียม เป็นการทดลองหาผลของระดับการเติมโลหะหนักในดินต่อการเปลี่ยนแปลงของโลหะหนักที่สกัดโดยวิธีการสกัดตามลําดับ (sequential extraction) ออกเป็น 5 รูป ได้แก่ 1) รูปที่ละลายในสารละลายดิน 2) รูปแลกเปลี่ยนได้ 3) รูปคาร์บอเนต 4) รูปออกไซด์ 5) รูปอินทรีย์ และ 6) รูปที่ถูกตรึงในหลืบ และความสัมพันธ์ของรูปต่างๆ กับปริมาณการดูดซึมของผักกาดเขียวปลี ทําการทดลองกับดินในกระถางที่เป็นดินร่วนปนทรายที่มีอินทรียวตัถุสูงและเป็นกรดเล็กน้อย โดยเติมโลหะหนักเป็นธาตุเดี่ยว 3 ระดับการเติม คือ 1) ดินที่ไม่เติมโลหะ 2) ความเข้มข้นระดับต่ำตามปริมาณที่ยอมรับให้มีได้ในดิน และ 3) ความเข้มข้นระดับสูงอ้างอิงจากพื้นที่ปนเปื้อนรุนแรง ผลการวิจัย พบว่า ธาตุโลหะหนักทั้งห้าชนิดตอบสนองต่อการเพิ่มระดับการเติมโลหะในดินตามพฤติกรรมความชอบดูดซับกับองค์ประกอบต่างๆ ของดิน ได้แก่ แคดเมียมและสังกะสีในรูปออกไซด์ ทองแดงในรูปอินทรีย์ ธาตุตะกั่วและโครเมียมในผลึกแร่และรูปอินทรีย์ การเพิ่มแคดเมียม สังกะสีและทองแดงลงในดินทําให้ธาตุในรูปแลกเปลี่ยนได้และรูปคาร์บอเนตในดินเพิ่มขึ้นโดยมีความสัมพันธ์กับระดับการเติมแบบ L-curve ในแคดเมียมและสังกะสี และแบบ S-curve ในทองแดง แต่ไม่พบในการเพิ่มในธาตุตะกั่วและโครเมียม การเพิ่มขึ้นของรูปแลกเปลี่ยนได้และรูปคาร์บอเนตมีความสัมพันธ์กับความเข้มข้นของแคดเมียม สังกะสีและทองแดงในพืช แต่ค่าสหสัมพันธ์ระหว่างค่าความเข้มข้นของโลหะหนักในพืชกับปริมาณในรูปแลกเปลี่ยนได้มีสูงอย่างมีนัยสําคัญกับทุกธาตุ ส่วนรูปคาร์บอเนตพบสหสัมพันธ์ในธาตุแคดเมียมและสังกะสีสรุปได้ว่า ปริมาณธาตุในรูปแลกเปลี่ยนได้ใช้เป็นตัวประเมินความเสี่ยงต่อการเคลื่อนย้ายและความพร้อมต่อการเข้าสู่สิ่งมีชีวิตครอบคลุมกับธาตุโลหะหนักทั้งห้าชนิด และอธิบายพฤติกรรมการเคลื่อนย้ายของโลหะหนักได้ดีกว่าปริมาณทั้งหมดในดิน

Article Details

How to Cite
ศิริวงศ์ ว. ., อุ่นศรี เ. ., & อินทปนาม ส. . (2018). การเคลื่อนย้ายและการดูดซึมโลหะหนักโดยผักกาดเขียวปลี ตามระดับการปนเปื้อนของดิน. วารสารวิทยาศาสตร์ มข., 46(1), 44–57. สืบค้น จาก https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/KKUSciJ/article/view/249801
บท
บทความวิจัย