การผลิตสบู่คาเฟอีนเพื่อเพิ่มมูลค่ากากกาแฟเหลือทิ้ง
Main Article Content
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้ศึกษาหาปริมาณคาเฟอีนซึ่งเป็นสารองค์ประกอบที่เหลืออยู่ในกากกาแฟเหลือทิ้ง เพื่อนํากากกาแฟไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์โดยใช้กระบวนการอย่างง่าย โดยสกัดหาปริมาณคาเฟอีนในกากกาแฟพันธุ์อาราบิก้า และกากกาแฟพันธุ์โรบัสต้าจากร้านกาแฟสด ในอําเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ด้วยวธิกีารสกัดแบบซอกห์เลต โดยใช้ตัวทําละลาย 4 ชนิด ได้แก่ น้ำ เอทานอล เอทิลแอซีเทต และไดคลอโรมีเทน เป็นเวลา 6 ชั่วโมง ที่จุดเดือดของตัวทําละลายแต่ละชนิด จากนั้นวิเคราะห์ปริมาณคาเฟอีนด้วยเครื่องโครมาโทกราฟีของเหลวสมรรถนะสูง พบว่า ตัวทําละลายที่สามารถสกัดคาเฟอีนจากกากกาแฟพันธุ์อาราบิก้า และกากกาแฟพันธุ์โรบัสต้าได้ดีที่สุดคือ ไดคลอโรมีเทน รองลงมาคือ เอทิลแอซีเทต เอทานอล และน้ำ ตามลําดับ เมื่อใช้ไดคลอโรมีเทนเป็นตัวทําละลายสามารถสกัดคาเฟอีนได้จากกากกาแฟพันธุ์อาราบิก้าและกากกาแฟพันธุ์โรบัสต้า คิดเป็นร้อยละผลผลิตเท่ากับ 0.27 และ 0.21 โดยน้ำหนักตามลําดับ เนื่องจากปริมาณคาเฟอีนที่เหลืออยู่มีเพียงเล็กน้อย ซึ่งอาจไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจในการสกัดออกมาใช้ประโยชน์ คณะผู้วิจัยจึงนํากากกาแฟมาผลิตสบู่ก้อนกากกาแฟ หลังเก็บสบู่ก้อนกากกาแฟไว้เป็นเวลา 15 วัน ค่าความเป็นกรด-ด่าง และปริมาณฟองสบู่ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสําคัญเมื่อเทียบกับสบู่ก้อนควบคุม งานวิจัยนี้นอกจากจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับกากกาแฟแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการกําจัดของเสียได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย
Article Details

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.