การพัฒนาเครื่องตัดท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง
##plugins.themes.bootstrap3.article.main##
摘要
เครื่องตัดท่อนพันธุ์มันสำปะหลังถูกสร้างขึ้น เพื่อลดเวลาในขั้นตอนการเตรียมท่อนพันธุ์สำหรับนำไปปลูกและลดปัญญาหาการขาดแคลนแรงงาน เครื่องต้นแบบประกอบด้วย ชุดใบเลื่อยวงเดือนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 7 นิ้ว 60 ฟัน ชุดโซ่ลำเลียงต้นพันธุ์ ชุดกดท่อนพันธุ์ ระบบส่งกำลัง ชุดเกียร์ทด (60:1)และใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 1 แรงม้าเป็นต้นกำลัง หลักการทำงานของเครื่อง เริ่มจากผู้ทำงานป้อนต้นมันสำปะหลังลงบนชุดโซ่ลำเลียง ต่อจากนั้นต้นมันจะถูกลำเลียงเข้าไปตัดที่ชุดใบเลื่อยวงเดือนผ่านชุดดกท่อนพันธุ์ และท่อนพันธุ์ที่ถูกตัดจะร่วงลงสู่ช่องทางออกทางด้านหลังของตัวเครื่อง ซึ่งความยาวของท่อนพันธุ์สามารถปรับได้ 2 ขนาด คือ 20 และ 25 เซนติเมตร โดยการปรับตั้งตำแหน่งของใบเลื่อยวงเดือน จากผลการทดสอบพบว่าเครื่องตัดท่อนพันธุ์สามารถทำงานได้ดีที่ความเร็วรอบของชุดโซ่ลำเลียง 8 เมตร ต่อวินาที โดยเครื่องสามารถตัดท่อนพันธุ์ที่ความยาว 20 เซนติเมตร ได้ 4,424 ท่อนต่อชั่วโมง ความเสียหาย 8.5% และที่ความยาว 25 เซนติเมตร ตัดได้ 3,321 ท่อนต่อชั่วโมง ความเสียหาย 4.8% การตัดทั้งสองความยาวใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ย 0.5 – 0.9 กิโลวัตต์ ชั่วโมง จากากรวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์วิศวกรรม พบว่าเมื่อใช้เครื่องตัดท่อนพันธุ์ 2,400 ชั่วโมงต่อปี จะมีระยะเวลาคืนทุน 1 ปี และจุดคุ้มทุน 272 ชั่วโมง เมื่อเปรียบเทียบกับการตัดด้วยแรงงานคน
##plugins.themes.bootstrap3.article.details##
The manuscript, information, content, picture and so forth which were published on Frontiers in engineering innovation research has been a copyright of this journal only. There is not allow anyone or any organize to duplicate all content or some document for unethical publication.
参考
[2] องค์กรอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ.2548 [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: http://www.fao.org
[3] Lungkapin, J., V. M. Salokhe, R. Kalsirisilp.and N. Nakashima. 2007. Development of a stem cutting unit for a cassava planter.Agricultural Engineering International-the CIGR E-journal, Manuscript PM 07 008, Vol.IX, July 2007.
[4] Sinthuprama, S. (1980). Cassava Cult Practices: Cassava plant system in Asia. In: Proceedings of the workshop held in Salvador,Bahia, Brazil, 18-21 March 1980, pp.50-53.