การวิเคราะห์รูปแบบการทำงานที่ปลอดภัยสำหรับผู้ปฏิบัติงานซ่อมบำรุงในโรงงานอุตสาหกรรมรีไซเคิลแบตเตอรี่

ผู้แต่ง

  • ประภารัตน์ แดงสุวรรณ ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • จิตรา รู้กิจการพานิช ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คำสำคัญ:

ความเสี่ยงอันตรายของพนักงานซ่อมบำรุง, อันตรายจากการสัมผัสสารตะกั่ว, อุตสาหกรรมการรีไซเคิลแบตเตอรี่, การสัมผัสสารตะกั่ว

บทคัดย่อ

ผู้ปฏิบัติงานซ่อมบำรุงในโรงงานรีไซเคิลแบตเตอรี่มีความเสี่ยงอันตรายต่อการได้รับพิษจากตะกั่วในบริเวณพื้นที่ปฏิบัติงาน งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หารูปแบบการทำงานที่ความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานซ่อมบำรุง การดำเนินการวิจัยเริ่มจาก 1) การตรวจวัดสภาพแวดล้อมของการปฏิบัติงาน การสังเกตลักษณะการทำงาน การสังเกตพฤติกรรมการทำงานและช่องทางการสัมผัสสารตะกั่ว 2) การประเมินความเสี่ยงอันตรายโดยใช้ FMEA เป็นแนวทางในการประเมิน  ความเสี่ยงเพื่อวิเคราะห์หารูปแบบการทำงานที่ปลอดภัย ผลการศึกษาพบว่า ช่องทางการสัมผัสเข้าสู่ร่างกายได้แก่ 1) ระบบทางเดินหายใจโดยการสูดดมควัน ฝุ่น ไอระเหย 2) การสัมผัสทางผิวหนังจากของเหลวที่ปนเปื้อนสารตะกั่ว และ 3) ระบบทางเดินอาหารจากมือและร่างกายที่เปื้อนสารตะกั่ว  ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสัมผัสสารตะกั่ว เรียงลำดับตามโอกาสในการสัมผัสดังนี้ 1) การฟุ้งกระจายของฝุ่นตะกั่ว 2) แหล่งความร้อนที่ทำให้เกิดไอของตะกั่ว 3) พื้นที่เปียกแฉะจากของเหลวที่ปนเปื้อนสารตะกั่ว 4) พฤติกรรมในการทำงาน 5) ระยะเวลาปฏิบัติงาน และ 6) การพักรับประทานอาหาร ส่วนรูปแบบการทำงานที่ปลอดภัย ได้แก่ 1) การติดตั้งอุปกรณ์เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่นตะกั่ว 2) การทำฉากกันความร้อนจากไอตะกั่ว 3) การใช้อุปกรณ์เสริมเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานของช่างซ่อม 4) การลดเวลาการทำงานสัมผัสกับความร้อน และ 5) การสวมใส่ชุดป้องกัน นอกจากนี้ยังต้องมีมาตรการการเฝ้าระวังสิ่งที่คุกคาม และมาตรการเฝ้าระวังด้านสุขภาพ หลังการดำเนินการใช้รูปแบบการทำงานที่ปลอดภัยเป็นระยะเวลาสิบเดือนพบว่า ปริมาณตะกั่วในเลือดของช่างซ่อมบำรุงมีค่าลดลงจาก 461.70 µg/L (46.17 µg/dL) เหลือ 157.40 µg/L (15.74 µg/dL) ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ปกติ

เอกสารอ้างอิง

กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, แนวทางการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคพิษตะกั่วในกลุ่มวัยแรงงาน. กรุงเทพฯ: อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์, 2563.

S. M. Levin, M. Goldberg, J. T. Doucette, “The effect of the OSHA lead exposure in construction standard on blood lead levels among iron workers employed in bridge rehabilitation,” American journal of industrial medicine, vol.31, no.3, Mar., pp. 303-309, 1997.

R. M. Thomson and G. J. Parry, “Neuropathies associated with excessive exposure to lead,” Muscle Nerve, vol. 33, no. 6, Jun., pp. 732–741, 2006.

M. F. Soto-Jiménez and A. R. Flegal, “Metal-contaminated indoor and outdoor housedust from a neighborhood Smelter area in Torreón, Mexico” Procedia Environmental Sciences, vol. 4, Jan., pp. 134–137, 2011.

มธุรส รุจิรวัฒน์ และ จุฑามาศ สัตยาวิวัฒน์, พิษวิทยาสิ่งแวดล้อม. กรุงเทพฯ: ทรินิตี้ พับลิชชิ่ง, 2549.

Patrick, L, “Lead Toxicity, a review of the literature. Part I: Exposure, Evaluation, and treatment,” Alternative Medicine Review, vol.11, no.1, pp. 2-22, 2006.

วิทยา อยู่สุข, อาชีวอนามัยและความปลอดภัย. พิมพ์ครั้งที่ 4, กรุงเทพฯ: ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. 2552.

K. C. STAUDINGER and V. S. ROTH, “Occupational Lead Poisoning,” Am. Fam. Physician, vol. 57, no. 4, pp. 719–726, 1998.

S. M. Levin, M. Goldberg and J. T. Doucette, “The effect of the OSHA lead exposure in construction standard on blood lead levels among iron workers employed in bridge rehabilitation,” American journal of industrial medicine, vol. 31, no. 3, pp. 303–309, 1997.

จิตรา รู้กิจการพานิช, วิศวกรรมความปลอดภัย สำหรับวิศวกรรมอุตสาหการ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2561.

จุรีพร สุวรรณสา, “การประยุกต์ระบบบริหารความเสี่ยง (ISO31000) สำหรับการผลิตตัวเร่งปฏิกิริยาในไส้กรองไอเสียรถยนต์,” วิทยานิพนธ์ วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2553.

จิตรา รู้กิจการพานิช, การออกแบบการทำงาน คู่มือสำหรับนิสิตนักศึกษา วิศวกร หัวหน้างาน เจ้าของกิจการ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2557.

C. A. Ericson and others, Hazard analysis techniques for system safety. Hoboken. John Wiley & Sons, 2015.

N. Salter, “Implementation of the Hazards and Effects management Process (HEMP) at Shell Chemical Facilities,” in The 7 th World Congress of Chemical Engineers, 2005, pp. 1-10.

H.Lingard and S.Rowlinson, Occupational health and safety in construction project management. London: Routledge. 2005.

A. P. Subriadi, N. F. Najwa, B. D. Cahyabuana and V. Lukitosari, "The Consistency of Using Failure Mode Effect Analysis (FMEA) on Risk Assessment of Information Technology," in 2018 International Seminar on Research of Information Technology and Intelligent Systems (ISRITI), in 2018, pp. 61-66.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2022-08-31

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย