https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/issue/feed
วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
2024-12-12T15:20:26+07:00
รองศาสตราจารย์ ดร.จักรกฤษณ์ พิญญาพงษ์
journal@uru.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์</strong></p> <p><strong>สาขาขอบเขตเนื้อหาการตีพิมพ์</strong> </p> <p> บทความวิจัยและบทความวิชาการที่ให้ความสำคัญในด้านการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ทุกระดับ โดยผลการวิจัยนั้นต้องสามารถแสดงให้เห็นถึงการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้จริงในพื้นที่ สามารถขยายผลความสำเร็จไปยังพื้นที่อื่น หรือให้ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่ ซึ่งมีขอบเขตดังนี้</p> <ol> <li>การจัดการเพื่อการพัฒนา</li> <li>สุขภาวะชุมชน</li> <li>เกษตรและอาหารเพื่อชุมชน</li> <li>ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม</li> <li>การจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมชุมชน</li> </ol> <p><strong>ประเภทบทความที่รับ<br /></strong> ตีพิมพ์ผลงาน 2 ประเภท คือ</p> <ul> <li>บทความวิจัย (Research article)</li> <li>บทความวิชาการ (Academic article) </li> </ul> <p><strong>การพิจารณาบทความ</strong></p> <p> บทความที่ได้รับการเผยแพร่ตีพิมพ์ในวารสารมีการตรวจสอบและพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer-reviews) จำนวน 3 ท่าน ต่อ 1 บทความ โดยผูัทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความที่มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blinded Peer review) ผ่านระบบ ThaiJO</p> <p><strong>กำหนดการตีพิมม์เผยแพร่</strong></p> <p> กำหนดตีพิมพ์เผยแพร่เป็นประจำทุกปี ปีละ 2 ฉบับคือ</p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 ช่วงเดือน มกราคม-มิถุนายน</li> <li>ฉบับที่ 2 ช่วงเดือน กรกฏาคม-ธันวาคม</li> </ul> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></p> <p> วารสารจัดเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ ต่อ 1 บทความ รายละเอียดดังนี้</p> <ul> <li>บุคคลภายนอก ค่าธรรมเนียม 4,500 บาท (สี่พันห้าร้อยบาทถ้วน)</li> <li>บุคคลภายในมหาวิทยาลัย (บุคลากรสายวิชาการ/สนับสนุน) ค่าธรรมเนียม ไม่เก็บค่าธรรมเนียม</li> <li>นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ค่าธรรมเนียม 3,500 บาท (สามพันห้าร้อยบาทถ้วน)</li> </ul> <p> โดยจะเรียกเก็บเมื่อบทความของท่าน ได้รับการพิจาณาจากบรรณาธิการให้เข้าสู่กระบวนการส่งพิจารณาบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความ โดยวารสารขอสงวนสิทธิ์คืนเงินกรณีบทความได้รับการปฏิเสธตีพิมพ์จากผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความ จำนวน 2 ท่านจาก 3 ท่าน</p>
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/article/view/255020
REPRODUCTIVE AND MILK PRODUCTION PERFORMANCES OF SIKHIO DAIRY COOPERATIVE SMALL HOLDER FARMS
2024-02-09T11:45:18+07:00
Catthareeya Sukwan
catthareeya.s@nrru.ac.th
Pitipat Kitpipatkun
pitipat_ki@rmutto.ac.th
Boonsom Polruksa
b.polruksa@yahoo.co.th
<p> The objectives of this research were to investigate RP and MPP indices of smallholder farms operated under Sikhio Dairy Cooperative (SDC), Nakhon Ratchasima, Thailand. A cross-sectional study of questionnaire and focus-group interviews were performed on 55 out of the 63 SDC farm owners to analyze socio-demographic, farm management, level of cooperation with SDC. A database analysis was conducted on their 195 dairy cows during the visits, to include age at first service (AFS), age at first calving (AFC), service per conception (SPC), conception rate at first service after calving (CFSC), calving to calving interval (CCI), calving to conception (CTC), daily milk yield (DMY), lactation milk yield (LMY) and lactation length (LL). The result showed most respondents were between 20-40 years old with the highest level of education of a bachelor’s degree. Their farming experience varied among less than 5 years, 5-8 years, and more than 8 years at 32.73%, 47.27%, and 20.00%, respectively. Their SDC membership length also varied. All farms raised Holstein Friesian crossbreed cattle. All participants were considered as small-medium size (about 60% lactating cows, 16% dry cows, and 24% replacement heifers). The AFS, AFC, SPC, CFSC, CCI and CTC were 21.1 months, 32.7 months, 2.41 times, 56.6%, 436 days and 118 days, respectively. Average DMY, LMY and LL were at 13.4 kg/day/cow, 3,766 kg/lactation/cow and 317 days, which met the acceptable expectation set by Department of Livestock Development. The result indicated SDC members achieved effective MPP, but high AFC, SPC, CCI, CTC suggested substandard RP in postpartum problems and replacement heifers. In addition, farming experience (P<0.01) and level of cooperation with SDC (P<0.05) had significant positive correlation with MPP. With challenging variables presented in Nakhon Ratchasima, SDC farms still yielded satisfactory productivity, revealing SDC networking to be beneficial to smallholder farm productivity. </p>
2024-12-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/article/view/255743
สถานะการพัฒนาที่ยั่งยืนเป้าหมายที่ 6: การจัดการน้ำและสุขาภิบาลของประเทศไทย พ.ศ. 2559-2565
2024-04-19T11:53:05+07:00
เสถียร ฉันทะ
chunta7@gmail.com
สำราญ เชื้อเมืองพาน
ranmuangphan@hotmail.com
อรุณี อินเทพ
joy_arunee@hotmail.com
จันทร์จิรา ขันเสริฐ
janjitooy@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจสถานะการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการสร้างหลักประกันว่าจะมีการจัดให้มีน้ำและสุขอนามัยสำหรับทุกคนในประเทศไทย และเพื่อประเมินสถานะมาตรการด้านเศรษฐกิจ สังคม และกฎหมายภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการสร้างหลักประกันว่าจะมีการจัดให้มีน้ำและสุขอนามัยสำหรับทุกคนและมีการบริหารจัดการที่ยั่งยืนในประเทศไทย ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเอกสาร สัมภาษณ์ตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวน 20 คน และจัดเวทีระดมความคิดเห็นของประชาชนจำนวน 100 คน ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเอกสาร และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ประเมินสถานะการพัฒนาตามเป้าหมายอ้างอิงหลักเกณฑ์ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และการตรวจสอบความถูกต้องข้อมูลรายงานจากการจัดเวทีประชุมการให้ข้อเสนอแนะของตัวแทนหน่วยงานภาครัฐส่วนกลางที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยพบว่าเป้าประสงค์ 6.a มีสถานะบรรลุเป้าหมาย 100% หรือสีเขียว เป้าประสงค์ 6.2, 6.5 และ 6.b มีสถานะต่ำกว่าค่าเป้าหมายสถานการณ์อยู่ในช่วง 76-99% หรือสีเหลือง และเป้าประสงค์ 6.1, 6.3, 6.4 และ 6.6 มีสถานะต่ำกว่าค่าเป้าหมายระดับเสี่ยงสถานการณ์อยู่ในช่วง 51-75% ของค่าเป้าหมายหรือสีส้ม และการประเมินสถานะมาตรการด้านเศรษฐกิจ สังคม และกฎหมายพบว่ามีการจัดทำแผนพัฒนาของประเทศทั้งมาตรการด้านเศรษฐกิจและสังคม และมาตรการทางกฎหมายมีการตราพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายควรมีมาตรการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคชุมชน ภาคเอกชน และภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และมีมาตรการการส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการสร้างกระบวนการพัฒนาที่ยั่งยืนไปสู่ความสำเร็จ</p>
2024-12-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/article/view/255432
ANTIBACTERIAL AND ANTIOXIDANT ACTIVITIES OF MUSHROOMS FROM A COMMUNITY ENTERPRISE IN LAMPANG PROVINCE, THAILAND
2024-03-12T13:58:18+07:00
Pornanan Boonkorn
pornanan.b@g.lpru.ac.th
Sastra Ladpala
armlad@g.lpru.ac.th
Angkhana Chuajedton
achuajedton@g.lpru.ac.th
Metarin Somboon
metarin.sb@gmail.com
Anukool Sroikum
anukool.kum59@outlook.com
Kanjanavadee Khumsem
Kanjanavadee0309@gmail.com
Pimkamol Kunakham
pimkamol1882@gmail.com
Jumnian Meesumlee
jumnian_w@g.lpru.ac.th
Sarayut Malai
sarayutd.m@g.lpru.ac.th
Haruthai Thaisuchat
haruth@g.lpru.ac.th
<p> The objectives of this research were to evaluate the antibacterial and antioxidant activities of ethanolic and aqueous extracts of five mushrooms cultivated by a community enterprise in Lampang Province, Thailand. Five mushrooms including<em> Lentinus edodes</em>,<em> Lentinus polychrous</em>, <em>Lentinus squarrosulus</em>, <em>Pleurotus ostreatus</em>, and<em> Dictyophora indusiata</em> were identified through ITS sequencing analysis. The ethanolic and aqueous extracts of these mushrooms were analyzed using the agar disc diffusion method and the DPPH radical scavenging activity assay, followed by statistical analysis using a one-way analysis of variance (ANOVA). Results showed that the ethanolic extract of <em>L. squarrosulus</em> exhibited the antibacterial activity against <em>Proteus mirabilis</em> DMST8212, <em>Enterobacter aerogenes</em> DMST8841, and <em>Salmonella typhimurium</em> DMST562, with clear zone diameters of 12.83 mm, 6.83 mm, and 6.00 mm, respectively. The growth of <em>Staphylococcus aureus</em> DMST8840 was inhibited by the ethanolic extracts of <em>P. ostreatus</em> and <em>L. edodes</em> with clear zone diameters of 6.67 mm and 6.00 mm, respectively. The ethanolic extract of <em>L. polychrous</em> inhibited <em>P. mirabilis</em> growth, resulting in a clear zone diameter of 11.33 mm. Antioxidant activity varied among species. The highest DPPH radical-scavenging activity was observed in ethanolic <em>L. edodes</em> and aqueous <em>L. polychrous</em> extracts at 10 mg/ml, with %DPPH reduction values of 92.23% and 96.69% respectively. The IC<sub>50</sub> values ranged from 4.951 to 7.952 mg/ml for ethanolic extracts, showing significant differences, and from 0.003 to 0.014 mg/ml for aqueous extracts, showing no significant differences. These findings highlight the potential of these mushrooms as natural antibacterial agents and antioxidants, offering opportunities for community enterprises to enhance income and sustainability through value-added products like dietary supplements, medicines, and cosmetics.</p>
2024-12-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/article/view/255469
การเพิ่มประสิทธิภาพคุณภาพยางก้อนถ้วยด้วยช้อนคนยางและกรดฟอร์มิก 7%
2024-05-07T13:56:53+07:00
น้องนุช สารภี
nongnut.sp@gmail.com
ปิยรัตน์ มีแก้ว
Piyarat.srru@gmail.ac.th
ยุพเยาว์ โตคีรี
youngyao.t@gmail.com
ชัยพันธุ์ สารภี
chaipan.sp@gmail.com
กชนิภา อุดมทวี
kotchanipha_na@hotmail.com
จุฑามาส อยู่มาก
bm.jutamas@gmail.com
ดวงตา โนวาเชค
duangnovacek@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปอร์เซ็นต์เนื้อยางแห้งของยางก้อนถ้วยและเพื่อวิเคราะห์คุณสมบัติต่างๆ ของยางก้อนถ้วยที่ใช้ช้อนคนน้ำยางกับกรดฟอร์มิก 7% ในการศึกษาเปอร์เซ็นต์เนื้อยางแห้งนั้น เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง โดยเป็นเกษตรกรชาวสวนยางจำนวน 30 ราย จากนั้น สุ่มเก็บตัวอย่างยางก้อนถ้วยตามสะดวกจากเกษตรกรกลุ่มตัวอย่างรายละ 10 กิโลกรัม จำนวน 3 ซ้ำ รวมตัวอย่างยางก้อนถ้วยรายละ 30 กิโลกรัม นำยางไปรีดด้วยเครื่องเครพ ผึ่งไว้ในที่ร่มและเข้าเตาอบจนแห้ง ชั่งน้ำหนัก และคำนวณเปอร์เซ็นต์เนื้อยางแห้ง สำหรับการวิเคราะห์คุณสมบัติยางก้อนถ้วยนั้น เก็บตัวอย่างยางก้อนถ้วยจากกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางจาก 6 สถาบันที่ผ่านการฝึกอบรมการทำยางก้อนถ้วยด้วยการใช้ช้อนคนน้ำยางร่วมกับกรดฟอร์มิก 7% จากนั้น สุ่มเก็บตัวอย่างจากเกษตรกรรายละ 3 กิโลกรัม นำตัวอย่างยางก้อนถ้วยทั้งหมดคละรวมกันและเก็บตัวอย่างตามสะดวกให้ได้ 10 กิโลกรัมต่อสถาบัน โดยวิเคราะห์คุณสมบัติยางก้อนถ้วย 7 ด้าน ในห้องปฏิบัติการ ได้แก่ ปริมาณสิ่งสกปรก ปริมาณสิ่งระเหย ปริมาณเถ้า ปริมาณไนโตรเจน ความอ่อนตัวเริ่มแรกของยาง ดัชนีความอ่อนตัวของยาง และความหนืด นำผลการวิเคราะห์ที่ได้ไปเปรียบเทียบคุณสมบัติของเนื้อยางกับค่ามาตรฐานคุณสมบัติของยางแท่งเอสทีอาร์ 10 และเอสทีอาร์ 20 ผลการศึกษา พบว่า ยางก้อนถ้วยมีค่าเฉลี่ยเปอร์เซ็นต์เนื้อยางแห้ง 8.39% (S.D. = 0.25) มีค่าเฉลี่ยรายบุคคลต่ำสุด 8.03% และค่าเฉลี่ยรายบุคคลสูงสุด 8.87% สำหรับผลการวิเคราะห์คุณสมบัติต่างๆ ของยางก้อนถ้วย พบว่า ผลทดสอบของทั้ง 6 สถาบันผ่านเกณฑ์มาตรฐานยางแท่งเอสทีอาร์ 20 ทุกรายการ และมีคุณสมบัติ 2 ประการที่จะต้องพัฒนาเพื่อให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานยางแท่งเอสทีอาร์ 10 คือ ค่าปริมาณสิ่งสกปรกและดัชนีความอ่อนตัวของยาง ผลจากการศึกษาสะท้อนให้เห็นว่า ถ้าเกษตรกรนำเทคนิคการใช้ช้อนคนน้ำยางร่วมกับการใช้กรดฟอร์มิก 7% อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่สำคัญของหลักปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีและเหมาะสม จะทำให้ผลผลิตยางก้อนถ้วยมีคุณภาพดีขึ้น และส่งผลต่อความมั่นคงของราคาและเกิดความยั่งยืนในการประกอบอาชีพต่อไป</p>
2024-12-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/article/view/255608
การศึกษาการแปรรูปเปลือกหอยเชลล์ฝาแดงเพื่อพัฒนาเป็นของที่ระลึกชุมชน
2024-05-03T09:45:32+07:00
ภัทรา ศรีสุโข
pathra.s@rbru.ac.th
กิตติรัตน์ รุ่งรัตนาอุบล
kittirat.r@rbru.ac.th
นฤมล เลิศคำฟู
marumon.l@rbru.ac.th
ภัทรบดี พิมพ์กิ
pattarabordee.p@rbru.ac.th
สุรพงษ์ ปัญญาทา
surapong.p@rbru.ac.th
วรฉัตร อังคะหิรัญ
worachat.a@rbru.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการแปรรูปเปลือกหอยเซลล์ฝาแดงบดเป็นดินปั้นที่เหมาะสมในการขึ้นรูป เพื่อศึกษาลักษณะการขึ้นรูปและค่าสีของดินปั้นจากเปลือกหอยเชลล์ และเพื่อถ่ายทอดกระบวนการทำและผลิตภัณฑ์ต้นแบบของที่ระลึกจากเปลือกหอยเชลล์สู่ชุมชน งานวิจัยแบบทดลองมีวิธีดำเนินการวิจัยศึกษาอัตราส่วนสูตรเปลือกหอยเชลล์ฝาแดงบด ร้อยละ 50, 60, 70, 80, 90 และ100 แต่ละสูตรมีการเพิ่มลดปริมาณระหว่างแป้งข้าวเหนียวกับแป้งข้าวโพดร้อยละ 10 รวมทั้งหมด 23 สูตร ทุกสูตรใส่สารกันบูด สารกันรา เบบี้ออยล์ กาวลาเท็กซ์ นวดผสมเป็นเนื้อเดียวกัน ศึกษาการขึ้นรูปและวัดค่าสีของดินปั้นจากเปลือกหอยเชลล์ฝาแดงที่สามารถปั้นเป็นเส้นม้วนเป็นรูปก้นหอยได้ ขณะปั้นขึ้นรูป ปั้นง่าย ไม่ติดมือ เมื่อแห้งคงรูป ไม่มีรอยแตกร้าว มีเฉดสีที่ชัดเจนโดยวัดค่าสี จากนั้นถ่ายทอดกระบวนการทำและผลิตภัณฑ์ต้นแบบของที่ระลึกประเภทพวงกุญแจสู่ตัวแทนวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านน้ำเชี่ยวชุมชนจำนวน 10 คน ผลการศึกษาสูตรเหมาะสมที่สุด คือ เปลือกหอยเชลล์ฝาแดงบดร้อยละ 80 แป้งข้าวโพดร้อยละ 10 แป้งข้าวเหนียวร้อยละ 10 เมื่อแห้งสนิทได้สีโทนชมพูมีค่าสี L*=79.04±1.92, a*=9.65±0.07, b*=3.69±0.15 ผลจากการขึ้นรูป พบว่า ทุกสูตรดินปั้นจากเปลือกหอยเชลล์ฝาแดงสามารถปั้นเป็นเส้นและขดเป็นรูปก้นหอยได้ เมื่อแห้งสนิทไม่เกิดรอยแตกร้าว รูปทรงตามแบบแต่มีความยากง่ายขณะปั้นขึ้นรูปและความสมบูรณ์ของชิ้นงานแตกต่างกันแป้งข้าวโพดทำให้เนื้อดินขณะปั้นมีความนิ่ม ผิวเรียบเนียน แป้งข้าวเหนียวทำให้มีความยืดหยุ่น ถ้าใส่ปริมาณมากขณะปั้นจัดรูปทรงจับแล้วยุบตัวง่าย แต่ถ้ามีเปลือกหอยเชลล์ฝาแดงบดปริมาณมากทำให้ความเหนียวลดขณะปั้นเป็นเส้นขาดง่าย และผลการถ่ายทอดกระบวนการทำนี้นำมาสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบพวงกุญแจประดับดินปั้นจากเปลือกหอยเชลล์รูปทรงต่างๆ เพื่อจำหน่ายเป็นของที่ระลึกของวิสาหกิจชุมชน อีกทั้งองค์ความรู้นี้ไปต่อยอดในการทำเป็นอาชีพเสริมเพิ่มมูลค่า สร้างรายได้เพิ่ม และสร้างกิจกรรมใหม่สำหรับการส่งเสริมการท่องเที่ยวในชุมชนตำบลน้ำเชี่ยว</p>
2024-12-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/article/view/254811
การพัฒนาเนื้อดินและเคลือบสังคโลกจากส่วนผสมขวดแก้วสีสำหรับผลิตกระเบื้องตกแต่งอาคาร สู่การจำหน่ายเชิงพาณิชย์โดยการต่อยอดภูมิปัญญาเครื่องสังคโลก จังหวัดสุโขทัย
2023-12-13T11:37:56+07:00
สนิท ปิ่นสกุล
sanit17@hotmail.com
ชายติชาย จันทร์ประทีป
ck_architect@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดลองส่วนผสมและทดสอบสมบัติทางกายภาพของเนื้อดินและเคลือบสังคโลกจากส่วนผสมของขวดแก้วสี เพื่อผลิตกระเบื้องตกแต่งอาคารที่มีส่วนผสมของขวดแก้วสี และเพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้บริโภคจำนวน 50 คนที่มีต่อผลิตภัณฑ์กระเบื้องตกแต่งอาคาร วัตถุดิบที่ใช้ทดลองเนื้อดิน คือ ดินเขาสี่ล้าน ดินหน้านา และขวดแก้วสีเขียว ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ทดลองเคลือบ คือ ดินเขาสี่ล้าน หินฟันม้า หินปูน และขวดแก้วสีเขียว โดยเนื้อดินและเคลือบทุกสูตร ถูกเผาที่อุณหภูมิ 1,220 องศาเซลเซียส บรรยากาศการเผาไหม้แบบสมบูรณ์ ลวดลายกระเบื้องออกแบบร่วมกับผู้ประกอบการโดยการนำอัตลักษณ์สังคโลกมาเป็นแนวคิดในการออกแบบ แล้วคัดเลือกต้นแบบจำนวน 10 แบบ นำมาขึ้นรูปเป็นแผ่นกระเบื้องและนำไปประเมินความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่าเนื้อดินและเคลือบสูตรที่มีสมบัติทางกายภาพเหมาะสม สำหรับผลิตกระเบื้อง คือ เนื้อดินสูตรที่ 3 และเคลือบสูตรที่ 1 โดยเนื้อดินสูตรที่ 3 มีส่วนผสมของดินเขาสี่ล้านร้อยละ 70 ดินหน้านาร้อยละ 20 และขวดแก้วสีเขียวร้อยละ 10 หลังเผามีความหดตัวเฉลี่ยร้อยละ 7.79 ความแข็งแรงเฉลี่ย 184.14 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร การดูดซึมน้ำเฉลี่ยร้อยละ 1.34 เนื้อดินทนความร้อนที่อุณหภูมิ 1,220 องศาเซลเซียสได้และมีสีน้ำตาล ส่วนเคลือบสูตรที่ 1 มีส่วนผสมของขวดแก้วสีเขียวร้อยละ 75 หินปูนร้อยละ 5 หินฟันม้าร้อยละ 20 และเพิ่มเติมดินเขาสี่ล้านร้อยละ 3 เคลือบมันแวววาว ผิวราน มีสีเขียวใสและมีการไหลตัวที่ 4.67 เซนติเมตร การออกแบบลวดลายกระเบื้องได้นำอัตลักษณ์ลายปลา ลายพรรณพฤกษาของสังคโลกมาประยุกต์เป็นลวดลายบนผิวกระเบื้องทั้ง 10 แบบ ผลการประเมินความพึงพอใจโดยรวมของกระเบื้องทั้งหมด มีค่ามากกว่า 4.22±0.19 อยู่ในระดับมาก ผู้วิจัยได้ถ่ายทอดองค์ความรู้การใช้ประโยชน์จากขยะขวดแก้วสีเขียวในชุมชนนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตสังคโลกให้กับผู้ประกอบการผลิตสังคโลกในจังหวัดสุโขทัย งานวิจัยนี้สามารถลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการได้</p>
2024-12-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/article/view/253817
การพัฒนารูปแบบการตัดสินใจเร่งด่วนสำหรับการเกิดอุบัติเหตุของรถขนส่งคอนกรีตแบบผสมเสร็จโดยใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่อง
2024-01-31T12:17:26+07:00
บัญชา ปล้องอ้วน
plonguan.1966@gmail.com
นัฐพงศ์ ส่งเนียม
xnattapong@hotmail.com
ดุษณี ศุภวรรธนะกุล
S.dusanee25@gmail.com
จรูญ จันแทน
charoon.ch@kbtg.tech
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการตัดสินใจเร่งด่วนสำหรับการเกิดอุบัติเหตุของรถขนส่งคอนกรีตแบบผสมเสร็จ ทดสอบประสิทธิภาพรูปแบบ และประเมินผลรูปแบบโดยใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่อง ข้อมูลที่ใช้ศึกษาการเรียนรู้ของเครื่องใช้ข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุของรถขนส่งคอนกรีตผสมเสร็จของสถานประกอบการในเขตพื้นที่คลองสามวา กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 แห่ง ข้อมูลปี พ.ศ. 2562 ถึง พ.ศ.2563 จำนวน 1,000 รายการ ประเมินผลรูปแบบการตัดสินใจเร่งด่วนสำหรับการเกิดอุบัติเหตุ ใช้กลุ่มตัวอย่างสถานประกอบการในเขตพื้นที่มีนบุรีและเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร ใช้การคัดเลือกแบบเจาะจงได้สถานประกอบการที่เข้าเกณฑ์จำนวน 40 แห่ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และเทคนิคการเรียนรู้ของเครื่อง ผลจากการสังเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องมาสร้างรูปแบบการตัดสินใจเร่งด่วนสำหรับการเกิดอุบัติเหตุของรถขนส่งคอนกรีตแบบผสมเสร็จ ผลการวิจัยพบว่าได้รูปแบบการตัดสินใจเร่งด่วน มีการระบุปัญหา การประเมินสถานการณ์ และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง การแจ้งข้อมูล การประมวลผล การพิจารณาทางเลือก และแนวทางแก้ไข การดำเนินการตามแผนการแก้ไข และการประเมินผลการทดสอบประสิทธิภาพรูปแบบ พบว่าผลการเรียนรู้ด้วยอัลกอริทึม ANN (Artificial Neuron Network) แบ่งเรียนรู้ร้อยละ 70 และทดสอบร้อยละ 30 ให้ค่าความถูกต้องมากที่สุด ร้อยละ 89.52 และผลประเมินรูปแบบการตัดสินใจเร่งด่วน ด้านความสามารถในการเรียนรู้ของผู้ใช้ระบบสามารถใช้งานระบบได้ด้วยตนเอง อยู่ในระดับมากที่สุดร้อยละ 75 ด้านความสามารถในการจดจำการใช้งานของผู้ใช้ระบบสามารถจดจำรูปแบบและวิธีการใช้งานระบบได้ ระดับปานกลางที่ร้อยละ 55 ด้านประสิทธิภาพของระบบสามารถช่วยในการแก้ปัญหาของผู้ใช้ได้ อยู่ในระดับมากที่สุด ร้อยละ 75 ด้านข้อผิดพลาดของระบบไม่พบข้อผิดพลาดในการใช้งานระบบ ระบบทำงานได้ถูกต้องระดับมากที่สุดร้อยละ 60 และด้านความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบโดยภาพรวมทั้งหมดมีความพึงพอใจในระบบ ระดับมากที่สุดร้อยละ 70 ผลการวิจัยนำไปใช้เพื่อลดความล่าช้าในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทำให้คอนกรีตผสมเสร็จไม่เสียหายสามารถจัดส่งได้ตรงเวลาสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง และการขนส่งวัตถุดิบเข้าโรงงานการผลิตแบบทันเวลาพอดี</p>
2024-12-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/article/view/253845
ปัญหาสุขภาพจิตในผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง จังหวัดเชียงราย
2023-11-27T10:37:18+07:00
จุฑามาศ เมืองมูล
somcrru@gmail.com
พัชรินทร์ วินยางค์กูล
Phatcharin.win@crru.ac.th
พิณัฏฐิณีย์ จิตคำ
Phinatthinee.jit@crru.ac.th
อนุสรา บุญจิตร
Anursara.Boon@crru.ac.th
วัชรพงษ์ เรือนคำ
Watcharapong_r@crru.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินภาวะสุขภาพจิตและปัจจัยที่มีผลต่อปัญหาสุขภาพจิตในผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง จังหวัดเชียงราย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรังในจังหวัดเชียงราย การวิจัยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอนโดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเขตพื้นที่จังหวัดเชียงราย ออกเป็น 4 เขต ตามการดำเนินงานด้านสาธารณสุขของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย และทำการสุ่มตัวอย่างแบบง่ายโดยการจับสลากอำเภอในจังหวัดเชียงราย อัตราส่วน 5:1 จากทั้งหมด 18 อำเภอ และจับสลากตำบล อัตราส่วน 5:1 พบว่า ตำบลที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 8 ตำบล ได้จำนวนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบประเมินความเครียดสวนปรุง จำนวน 20 ข้อ แบบวัดความวิตกกังวล จำนวน 20 ข้อ และแบบประเมินภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุไทย จำนวน 15 ข้อ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงจำนวน 204 คน คิดเป็นร้อยละ 51.0 อายุเฉลี่ย 68.2 ปี ส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 60-69 ปี จำนวน 206 คน ร้อยละ 51.5 การศึกษาส่วนใหญ่จบระดับประถมศึกษา จำนวน 128 คน ร้อยละ 32.0 ระดับความเครียดของผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรังอยู่ในระดับปานกลาง จำนวน 195 คน ร้อยละ 48.8 ระดับความวิตกกังวลของผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง อยู่ในระดับปานกลาง จำนวน 205 คน ร้อยละ 51.2 ภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ส่วนใหญ่มีภาวะซึมเศร้าเล็กน้อย จำนวน 206 คน ร้อยละ 51.5 ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อปัญหาสุขภาพจิตในผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง พบว่าเพศมีความสัมพันธ์กับสุขภาพจิตทั้งสามด้าน ส่วนความสัมพันธ์ในครอบครัวมีความสัมพันธ์กับความเครียด ทั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรคัดกรอง เฝ้าระวัง สร้างกิจกรรมพิเศษ กลุ่มผู้ป่วยผู้สูงอายุเรื้อรังในเรื่องเพศและมีประวัติเป็นโรคเรื้อรัง</p>
2024-12-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/article/view/254603
การวิเคราะห์การแอ่นและความเค้นของพาเลทเหล็กโดยไฟไนต์เอลิเมนต์
2024-01-23T14:44:26+07:00
กุลทรัพย์ ผ่องศรีสุข
phongsrisuk@gmail.com
นนท์ แสนคำแพ
sankumpae@gmail.com
ประสงค์ อิงสุวรรณ
prasong.ing@gmail.com
อำนาจ ตงติ๊บ
amnad_rmutl@hotmail.co.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์การแอ่นและความเค้นของพาเลทเหล็กในอุตสาหกรรมห้องเย็นและลดจำนวนชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็นในพาเลทเหล็ก โดยทำการสร้างแบบจำลองพาเลทเหล็กที่มีขนาด 120x110x150 เซนติเมตร ในไฟไนต์เอลิเมนต์ซอฟต์แวร์ และทวนสอบความถูกต้องของระยะการแอ่นของแบบจำลองพาเลทเหล็กกับการวัดระยะการแอ่นด้วยไดอัลเกจ จากนั้นทำการพิจารณาระยะการแอ่นและความเค้นฟอนมิสเซสของพาเลทเหล็ก เพื่อลดจำนวนชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็นในพาเลทเหล็ก เมื่อพาเลทเหล็กรับภาระกระจายแบบสม่ำเสมอ 1,200 กิโลกรัม กระทำตั้งฉากกับพื้นที่วางสินค้า ผลการวิจัยพบว่าแบบจำลองพาเลทเหล็กมีความคลาดเคลื่อนจากผลการทดสอบด้วยไดอัลเกจสูงสุดร้อยละ 6.52 และการลดจำนวนชิ้นส่วนที่เป็นพื้นที่วางสินค้าของพาเลทเหล็กจะทำให้ระยะการแอ่นและความเค้นฟอนมิสเซสของพาเลทเหล็กมีค่าลดลง ซึ่งทำให้สามารถลดต้นทุนและน้ำหนักของพาเลทเหล็กลงได้ร้อยละ 18.61 และ 18.57 ตามลำดับ ซึ่งผลของงานวิจัยสามารถนำไปใช้ประโยชน์กับอุตสาหกรรมที่ใช้พาเลทเหล็กในการจัดเก็บสินค้า</p>
2024-12-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/article/view/255005
ผลของโปรแกรมพัฒนาทักษะการตรวจเต้านมด้วยตนเองต่อความรู้ เจตคติ และทักษะ การตรวจเต้านมด้วยตนเองของนักศึกษาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
2024-01-11T12:01:10+07:00
จงรัก ดวงทอง
jongruk2518@gmail.com
กิตติวรรณ จันทร์ฤทธิ์
kittiwanjunrith@gmail.com
สิทธิศักดิ์ จูมพล
Suthita4993@gmail.com
สุธิตา ลือแก้ว
U630427901@uru.ac.th
อภิชญา วันนาหม่อง
U63042790117@uru.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมพัฒนาทักษะการตรวจเต้านมด้วยตนเอง โดยเปรียบเทียบความรู้ เจตคติเกี่ยวกับมะเร็งเต้านม และทักษะการตรวจเต้านมด้วยตนเองของนักศึกษาสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ประชากรคือนักศึกษาหญิงสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป จำนวน 114 คน วิจัยนี้มีลักษณะเป็นแบบกึ่งทดลองที่นำนักศึกษามาเข้าร่วมโปรแกรมฯ ซึ่งแบ่งตามกลุ่มเรียนโดยมีจำนวนนักศึกษาจำนวน 30 คนต่อกลุ่ม โปรแกรมมีระยะเวลาทั้งหมด 4 ครั้งโดยแต่ละครั้งมีระยะเวลา 2 ชั่วโมง โดยโปรแกรมฯ ประกอบด้วยการบรรยายเชิงกลุ่ม การสาธิตและการฝึกปฏิบัติการตรวจเต้านมด้วยตนเอง โดยการวิเคราะห์ข้อมูลจะใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อนำเสนอข้อมูลทั่วไปโดยใช้การแจกแจงความถี่ <br />ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติทดสอบค่าที (Paired sample t-test) เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้ เจตคติ เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม และทักษะในการตรวจเต้านมด้วยตนเองก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรมฯ นักศึกษามีความรู้ เจตคติ และทักษะในการตรวจเต้านมด้วยตนเองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) ที่ระดับ 0.05 (µ =15.5, 16.5 µ = 47.2, 50.4 และ µ = 1.8, 4.0 ตามลำดับ) ผลการศึกษานี้เป็นแนวทางที่มีความสำคัญในการนำโปรแกรมฯ ไปใช้ในการสอนการตรวจเต้านมด้วยตนเองและการพัฒนาทักษะการตรวจเต้านมด้วยตนเองให้กับนักศึกษาในหลักสูตรอื่นๆ และบุคลากรทางด้านสุขภาพ เพื่อให้พัฒนาทักษะของตนเองและสามารถสอนการตรวจเต้านมด้วยตนเองให้กับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป</p>
2024-12-12T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์