https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/issue/feed
วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
2024-05-31T00:00:00+07:00
รองศาสตราจารย์ ดร.จักรกฤษณ์ พิญญาพงษ์
journal@uru.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์</strong></p> <p><strong>สาขาขอบเขตเนื้อหาการตีพิมพ์</strong> </p> <p> บทความวิจัยและบทความวิชาการที่ให้ความสำคัญในด้านการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ทุกระดับ โดยผลการวิจัยนั้นต้องสามารถแสดงให้เห็นถึงการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้จริงในพื้นที่ สามารถขยายผลความสำเร็จไปยังพื้นที่อื่น หรือให้ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่ ซึ่งมีขอบเขตดังนี้</p> <ol> <li>การจัดการเพื่อการพัฒนา</li> <li>สุขภาวะชุมชน</li> <li>เกษตรและอาหารเพื่อชุมชน</li> <li>ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม</li> <li>การจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมชุมชน</li> </ol> <p><strong>ประเภทบทความที่รับ<br /></strong> ตีพิมพ์ผลงาน 2 ประเภท คือ</p> <ul> <li>บทความวิจัย (Research article)</li> <li>บทความวิชาการ (Academic article) </li> </ul> <p><strong>การพิจารณาบทความ</strong></p> <p> บทความที่ได้รับการเผยแพร่ตีพิมพ์ในวารสารมีการตรวจสอบและพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer-reviews) จำนวน 3 ท่าน ต่อ 1 บทความ โดยผูัทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความที่มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blinded Peer review) ผ่านระบบ ThaiJO</p> <p><strong>กำหนดการตีพิมม์เผยแพร่</strong></p> <p> กำหนดตีพิมพ์เผยแพร่เป็นประจำทุกปี ปีละ 2 ฉบับคือ</p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 ช่วงเดือน มกราคม-มิถุนายน</li> <li>ฉบับที่ 2 ช่วงเดือน กรกฏาคม-ธันวาคม</li> </ul> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></p> <p> วารสารจัดเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ ต่อ 1 บทความ รายละเอียดดังนี้</p> <ul> <li>บุคคลภายนอก ค่าธรรมเนียม 4,500 บาท (สี่พันห้าร้อยบาทถ้วน)</li> <li>บุคคลภายในมหาวิทยาลัย (บุคลากรสายวิชาการ/สนับสนุน) ค่าธรรมเนียม ไม่เก็บค่าธรรมเนียม</li> <li>นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ค่าธรรมเนียม 3,500 บาท (สามพันห้าร้อยบาทถ้วน)</li> </ul> <p> โดยจะเรียกเก็บเมื่อบทความของท่าน ได้รับการพิจาณาจากบรรณาธิการให้เข้าสู่กระบวนการส่งพิจารณาบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความ โดยวารสารขอสงวนสิทธิ์คืนเงินกรณีบทความได้รับการปฏิเสธตีพิมพ์จากผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความ จำนวน 2 ท่านจาก 3 ท่าน</p>
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/article/view/254663
การประยุกต์ใช้สมการคณิตศาสตร์เพื่อพยากรณ์ปริมาณการใช้ไฟฟ้า สำหรับการบริหารจัดการพลังงานในมหาวิทยาลัย กรณีศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
2024-01-18T16:22:42+07:00
สารัลย์ กระจง
saran.krachong@gmail.com
คณกร สว่างเจริญ
uttweb@hotmail.com
พงศ์ หรดาล
horadalpong@gmail.com
ศิริกาญจน์ โพธิ์เขียว
luknam756@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประยุกต์ใช้และทดสอบสมการทางคณิตศาสตร์สำหรับพยากรณ์ปริมาณการใช้ไฟฟ้ามหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ โดยใช้ปัจจัยทางกายภาพ จำนวน 7 ปัจจัย คือ 1) จำนวนอาคาร 2) พื้นที่ใช้สอยอาคาร (ตารางเมตร) 3) จำนวนเครื่องปรับอากาศ 4) จำนวนหลอดไฟ 5) จำนวนนักศึกษา 6) จำนวนอาจารย์และบุคลากร และ 7) ปริมาณการใช้พลังงาน ย้อนหลัง 6 ปี (พ.ศ. 2561-2566) ประยุกต์ใช้สมการ 4 สมการ 1) สมการคาดคะเนแนวโน้ม (Trend P.) 2) สมการค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบง่าย (SMA) 3) สมการเอกซ์โปเนนเชียลหนึ่งชั้นแบบปรับค่า (ARRSES) และ 4) สมการค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ถ่วงน้ำหนักแบบเอกซ์โปเนนเชียล (EWMA) ผลการวิจัยพบว่า เมื่อทำการทดสอบสมการทางคณิตศาสตร์โดยนำข้อมูลรายเดือนมาเข้าสมการ EWMA มีความผิดพลาดน้อยที่สุดเฉลี่ยร้อยละ 15.20 รองลงมาเป็น สมการ ARRSES มีความผิดพลาดเฉลี่ยร้อยละ 18.15 สมการ Trend P. ความผิดพลาดเฉลี่ยร้อยละ 18.59 และ สมการ SMA ผิดพลาดเฉลี่ยร้อยละ 19.98 และเมื่อนำข้อมูลเฉลี่ยรายปีมาใช้กับสมการ พบว่าสมการ Trend P. จะมีความผิดพลาดน้อยที่สุดร้อยละ 6.40 ส่วนสมการอื่นๆ มีความผิดพลาดมากกว่าร้อยละ 25 จึงสรุปได้ว่าสมการที่เหมาะสมสำหรับการพยากรณ์การใช้ไฟฟ้าควรใช้สมการ Trend P. ร่วมกับข้อมูลรายปี เนื่องจากชุดข้อมูลที่นำมาใช้มีลักษณะเป็นเชิงเส้นทำให้ Trend P. มีความเหมาะสมที่สุด เมื่อนำสมการดังกล่าวมาประยุกต์ใช้สำหรับการพยากรณ์ร่วมกับข้อมูลการใช้ไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์รายปี ในปี พ.ศ. 2566 พบว่า ในปี พ.ศ. 2567 - 2569 จะมีการใช้ปริมาณไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.57 ร้อยละ 6.37 และ ร้อยละ 12.23 ตามลำดับ ถ้าไม่มีการใช้พลังงานทดแทนหรือนโยบายด้านการจัดการพลังงานจะส่งผลให้ในปี พ.ศ. 2569 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์จะมีปริมาณการใช้ไฟฟ้า 7,525,959 กิโลวัตต์-ชั่วโมง หรือคิดเป็นค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่าย 36,801,939 บาทต่อปี โดยคิดคำนวณค่าไฟฟ้า 4.89 บาทต่อหน่วย จากค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) รวมกับค่าปรับอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (Ft) จากปี พ.ศ. 2561 - 2566 ดังนั้นการประยุกต์ใช้สมการคณิตศาสตร์ดังกล่าวจึงสามารถพยากรณ์ปริมาณการใช้ไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ได้ ส่งผลให้มหาวิทยาลัยสามารถนำข้อมูลไปวางนโยบายสำหรับการบริหารจัดการพลังงานในมหาวิทยาลัยได้อย่างเหมาะสม</p>
2024-05-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/article/view/251997
อิทธิพลของปุ๋ยอินทรีย์ปั้นเม็ด ปุ๋ยฮอร์โมนปั้นเม็ดสูตรผสม และปุ๋ยเคมี ต่อการเจริญเติบโตและการสะสมมวลชีวภาพของมันสำปะหลัง
2023-06-29T15:11:59+07:00
ชวลิต รักษาริกรณ์
chawalitra59@nu.ac.th
ภูมิศักดิ์ อินทนนท์
pumisak_Intanon@hotmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบอิทธิพลของปุ๋ยอินทรีย์ปั้นเม็ด ปุ๋ยฮอร์โมนปั้นเม็ดสูตรผสม (HO) ปุ๋ยเคมีต่อการปรับปรุงสมบัติของดินในแปลงปลูกมันสำปะหลัง การเจริญเติบโต และการสะสมมวลชีวภาพของมันสำปะหลัง โดยทำการศึกษาอิทธิพลของปุ๋ย 4 ชนิด ได้แก่ 1) ปุ๋ยอินทรีย์ปั้นเม็ด (ORG) 2) ปุ๋ยฮอร์โมนปั้นเม็ดสูตรผสม (HO-1) 3) ปุ๋ยฮอร์โมนปั้นเม็ดสูตรผสม (HO-2) และ 4) ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 (CHEM) ที่อัตรา 50 และ 100 กิโลกรัมต่อไร่ วางแผนการทดลองแบบสุ่มในบล็อกสมบูรณ์ (RCBD) ทั้งหมด 9 กรรมวิธีๆ ละ 4 ซ้ำ ผลการศึกษาพบว่า ดินก่อนการวิจัยมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ส่วนภายหลังการวิจัยพบว่าการใส่ปุ๋ย HO-1 (T5) และ HO-2 (T7) อัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ ทำให้ดินมีธาตุอาหารพืชรวมเพิ่มมากขึ้น และมีแนวโน้มทำให้สมบัติด้านกายภาพของดิน ได้แก่ ความหนาแน่น (BD), ความพรุน (E) และ ความจุความชื้นสนาม (FC) ดีขึ้นกว่าการใช้ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์ปั้นเม็ด สำหรับการเจริญเติบโตของมันสำปะหลังพบว่าการใช้ปุ๋ย HO-1 อัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ (T5) มีผลทำให้ขนาดลำต้น ทรงพุ่ม และค่าความเขียวใบดีกว่ากรรมวิธีอื่นๆ ด้านการสะสมมวลชีวภาพ (Biomass) ของมันสำปะหลังในช่วงอายุ 8 เดือน พบว่ามีการสะสมมวลชีวภาพสูงสุดในส่วนลำต้น กิ่ง ใบ ราก และ ก้านใบมากที่สุดตามลำดับ และพบว่าการใช้ปุ๋ย HO-1 (T5) และ HO-2 (T7) ในอัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ มีผลทำให้การสะสมน้ำหนักแห้งหรือเปอร์เซ็นต์แป้งในหัวมันสำปะหลัง (Starch) สูงสุดเท่ากับ 34.5 เปอร์เซ็นต์ และ 34.3 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ และสูงกว่ากรรมวิธีอื่นๆ จากผลการวิจัยปุ๋ยฮอร์โมนปั้นเม็ดสูตรผสม (HO) ในครั้งนี้เกษตรกรสามารถนำไปต่อยอดเพื่อเป็นทางเลือกในการจัดการดินและปุ๋ยสำหรับการปลูกมันสำปะหลังพันธุ์อื่นๆ ให้มีปริมาณและคุณภาพที่สูงได้</p>
2024-05-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/article/view/252929
การทำนายคุณภาพการนอนหลับด้วยปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดใน 10 ปีข้างหน้า กลุ่มผู้ป่วยความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนางแล จังหวัดเชียงราย
2023-11-06T15:56:19+07:00
พัชรินทร์ วินยางกูล
phatcharin.win@crru.ac.th
วัชรพงษ์ เรือนคำ
watcharapong_r@crru.ac.th
อนัญญา เหล่ารินทอง
Anaya.lao@crru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำนายคุณภาพการนอนหลับด้วยปัจจัยความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดใน 10 ปีข้างหน้ากลุ่มผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 152 ราย เครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดใน 10 ปีข้างหน้า และคุณภาพการนอนหลับ (PSQI) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน (Spearman rank correlation) และวิเคราะห์สถิติถดถอยโลจิสติกแบบนำตัวแปรเข้าพร้อมกัน (Enter logistic regression) ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีคุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดี ร้อยละ 75.7 ปัจจัยความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดใน 10 ปีข้างหน้าที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพการนอนหลับพบว่า อายุ ระดับความดันโลหิต การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา ระดับน้ำตาลในเลือด รอบเอว ประวัติการมีเครือญาติป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง และระดับไขมันในเลือด สามารถร่วมทำนายคุณภาพการนอนหลับของกลุ่มตัวอย่างได้ร้อยละ 15.5 (Nagelkerke R<sup>2</sup> = 0.155) โดยระดับไขมันในเลือดที่ ≥ 130 มก./ดล. ทำนายคุณภาพการนอนหลับไม่ดีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (OR= 2.39; 95% CI = 1.058 – 5.396) สรุปได้ว่าปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดใน 10 ปีข้างหน้า ที่สามารถทำนายคุณภาพการนอนหลับซึ่งสามารถนำเสนอเชิงข้อมูลต่อพื้นที่และวางแผนพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมคุณภาพการนอนหลับให้มีประสิทธิภาพ</p>
2024-05-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/article/view/252731
การออกแบบและทดสอบประสิทธิภาพเครื่องสีข้าวพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับโรงสีข้าวชุมชน อำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์
2023-08-22T15:24:02+07:00
ธีรพจน์ แนบเนียน
Teerapod.n@nsru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบ ทดสอบประสิทธิภาพและวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ของเครื่องสีข้าวพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับโรงสีข้าวชุมชน อำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์ วิธีดำเนินการวิจัย ศึกษาปัญหากระบวนการสีข้าวและออกแบบโดยโครงสร้างเครื่องสีข้าวทำจากเหล็ก ต้นกำลังเป็นมอเตอร์ ขนาด 1.5 แรงม้า ส่วนประกอบ ได้แก่ กระบะบรรจุข้าว ลูกยางขัดข้าว ลูกหินขัดข้าว ตะแกรงร่อน ปล่องดูดแกลบและระบบส่งกำลัง พร้อมด้วยระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ประกอบด้วย แผงโซล่าเซลล์ อินเวอร์เตอร์ และแบตเตอรี่ จากการทดสอบหาประสิทธิภาพการสีข้าวทั้ง 3 ชนิด ที่ค่าความเร็วรอบและระยะห่างของลูกยางที่เหมาะสม พบว่า การสีข้าว กข 41 ความเร็วรอบ 1,290 rpm และระยะห่าง 0.9 mm การสีข้าว ชัยนาท 1 ความเร็วรอบ 1,350 rpm และระยะห่าง 0.9 mm และการสีข้าว หอมปทุมธานี ความเร็วรอบ 1,200 rpm และระยะห่าง 1.0 mm ผลการทดสอบความชื้นข้าวเปลือกที่เหมาะสมในการสีข้าว พบว่า พันธุ์ข้าว กข 41 ความชื้น 14%w.b. ได้ข้าวเต็มเมล็ด 0.395 กิโลกรัม ประสิทธิภาพ 62.70% พันธุ์ข้าว ชัยนาท 1 ความชื้น 14%w.b. ได้ข้าวเต็มเมล็ด 0.397 กิโลกรัม ประสิทธิภาพ 63.40% และพันธุ์ข้าว หอมปทุมธานี ความชื้น 13%w.b. ได้ข้าวเต็มเมล็ด 0.396 กิโลกรัม ประสิทธิภาพ 63.50% การเปรียบเทียบประสิทธิภาพด้านพลังงานในการสีข้าว พบว่า การสีข้าว 5 ชั่วโมงต่อวัน ใช้พลังงานไฟฟ้า 5.5 หน่วย คิดเป็นเงิน 24.31 บาท ซึ่งคิดเป็นผลประหยัดค่าไฟฟ้า 6,344.91 บาทต่อปี การวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ พบว่า ระยะเวลาในการคืนทุนมีค่าเท่ากับ 3.73 ปี ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 20.86 ton.CO<sub>2</sub> ผลจากการวิจัยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสีข้าว ลดต้นทุนด้านพลังงานและเป็นแนวทางให้เกษตรกรในการตัดสินใจลงทุนอย่างเหมาะสม</p>
2024-05-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/article/view/252595
การปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดการคลังสินค้าของวิสาหกิจชุมชนหนองตูม โดยใช้วิธีวิเคราะห์ ABC-FSN
2023-05-31T14:45:06+07:00
ชนิกานต์ เปรมปรีดิ์
ruktan3012@gmail.com
อรรถวิทย์ สมศิริ
atawits@yahoo.com
อัษฎางค์ พลนอก
assadangp@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาการจัดการสินค้าคงคลังด้วยเครื่องมือวิเคราะห์ ABC–FSN analysis และเพื่อเปรียบเทียบมูลค่าคงคลัง ก่อนและหลังการปรับปรุงคลังสินค้าของวิสาหกิจชุมชนหนองตูม ดำเนินการวิจัยโดยเก็บข้อมูลจากรายการสินค้าคงคลังของวิสาหกิจชุมชนหนองตูม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์ด้วยระบบ ABC–FSN analysis ผลการวิจัย พบว่า มีสินค้าคงคลังทั้งหมด 59 รายการ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 336,407 บาท เมื่อจำแนกสินค้าตามระบบ ABC analysis พบว่า กลุ่ม A มีจำนวน 9 รายการ (ร้อยละ 15.25) โดยมีมูลค่ารวม 217,144 บาท (ร้อยละ 64.55) กลุ่ม B มีจำนวน 16 รายการ (ร้อยละ 27.12) โดยมีมูลค่ารวม 83,440 บาท (ร้อยละ 24.80) กลุ่ม C มีจำนวน 34 รายการ (ร้อยละ 57.63) โดยมีมูลค่ารวม 35,823 บาท (ร้อยละ 10.65) เมื่อจำแนกสินค้าตามระบบ FSN analysis พบว่า กลุ่ม F มีจำนวน 12 รายการ (ร้อยละ 20.34) โดยมีมูลค่ารวม 160,538 บาท (ร้อยละ 47.72) กลุ่ม S มีจำนวน 21 รายการ (ร้อยละ 35.59) โดยมีมูลค่ารวม 106,483 บาท (ร้อยละ 31.65) กลุ่ม N มีจำนวน 26 รายการ (ร้อยละ 44.07) โดยมีมูลค่ารวม 69,386 บาท (ร้อยละ 20.63) ผลการเปรียบเทียบมูลค่าคงคลังก่อนและหลังการปรับปรุงคลังสินค้า พบว่า สินค้าคงคลังมูลค่ารวมเท่ากับ 284,145 บาท กลุ่ม A มูลค่าสินค้าคงคลังเท่ากับ 166,510 บาท มูลค่าลดลงร้อยละ 23.26 กลุ่ม B มูลค่าสินค้าคงคลังเท่ากับ 83,616 บาท มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.21 กลุ่ม C มูลค่าสินค้าคงคลังเท่ากับ 34,019 บาท มูลค่าลดลงร้อยละ 5.03 สินค้าในกลุ่มที่เคลื่อนไหวน้อย AN มูลค่าสินค้าคงคลังเท่ากับ 7,640 บาท ลดลงร้อยละ 52.94 กลุ่ม BN มูลค่าสินค้าคงคลังเท่ากับ 28,298 บาท ลดลงร้อยละ 24.32 และ กลุ่ม CN มูลค่าสินค้าคงคลังเท่ากับ 14,476 บาท ลดลงร้อยละ 8.14 โดยรวม มูลค่าสินค้าคงคลังลดลง 52,262 บาท มูลค่าลดลงร้อยละ 15.54 ส่งผลให้วิสาหกิจชุมชนมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ช่วยให้วิสาหกิจชุมชนสามารถพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารคลังได้อย่างเป็นระบบที่นำไปสู่การเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ</p>
2024-05-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/article/view/252842
การพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำพริกมะขามกุ้งแห้งเพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์ของพื้นที่เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี
2023-08-17T17:26:41+07:00
ถกลรัตน์ ทักษิมา
takunrat.tak@dpu.ac.th
อัจจิมา ศรีปรัชญาอนันต์
utchima@gmail.com
ปณิธี สุวรรณอมรเลิศ
panitee.tip@dpu.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำพริกมะขามกุ้งแห้ง และศึกษาคุณภาพทางเคมี กายภาพ จุลินทรีย์ และการยอมรับทางประสาทสัมผัสของผู้บริโภคของผลิตภัณฑ์น้ำพริกมะขามกุ้งแห้งของชุมชนในเขตอำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ด้วยเทคนิคการออกแบบการทดลองแบบผสม โดยศึกษา 3 ปัจจัย ได้แก่ มะขามอ่อน น้ำตาลมะพร้าว และกะปิ วิเคราะห์คุณภาพของผลิตภัณฑ์น้ำพริกมะขามกุ้งแห้งด้านเคมี กายภาพ จุลินทรีย์ และประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัสด้วยวิธีสเกลแบบฮีโดนิก 9 จุด สุ่มตัวอย่างจากกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปที่รับประทานน้ำพริกมะขาม (n=120 คน) ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก ประเมินการยอมรับโดยรวมและความสนใจในการซื้อด้วยวิธีสเกลแบบไบโนเมียล พบว่าสูตรที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคมากที่สุดคือสูตรที่ 3 (มะขามอ่อน: กุ้งแห้ง: น้ำตาลมะพร้าว: กะปิ: เกลือ: หอมแดง: กระเทียม: พริกขี้หนู = 50.87: 8.00: 11.40: 4.78: 0.75: 12.25: 9.80: 2.15 โดยน้ำหนัก) คะแนนความชอบโดยรวมของผลิตภัณฑ์น้ำพริกมะขามกุ้งแห้งสูตรที่ 3 มีค่ามากกว่า 7.0 (ในระดับ 9 คะแนน) โดยได้รับการยอมรับ (91.67%) และความความสนใจในการซื้อ (91.67%) คุณภาพทางกายภาพของผลิตภัณฑ์น้ำพริกมะขามกุ้งแห้ง มีค่าสี L*, a*, b* เท่ากับ 23.47, 16.49, 22.62 ค่า a<sub>w</sub> เท่ากับ 0.57 และค่าความเป็นกรดด่าง (pH) เท่ากับ 5.50 ตามลำดับ ค่าความชื้น เถ้า โปรตีน ไขมันคาร์โบไฮเดรต และใยอาหาร ของผลิตภัณฑ์น้ำพริกมะขามกุ้งแห้ง มีค่าเท่ากับร้อยละ 33.72, 5.10, 12.63, 2.73, 16.83 และ 4.37 ตามลำดับ คุณภาพทางด้านจุลินทรีย์เป็นไปตามมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ชุมชน (ฉบับที่ 321) ผลผลิตที่ได้จากงานวิจัยนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับมะขามซึ่งเป็นวัตถุดิบพื้นถิ่นของพื้นที่เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี และสร้างรายได้ให้กับประชากรในเขตพื้นที่ดังกล่าวได้</p>
2024-05-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/article/view/252878
DESIGN AND DEVELOPMENT OF SOLAR-POWERED IRRIGATION SYSTEM FOR SUGARCANE CULTIVATION
2023-09-26T15:02:57+07:00
Warachit Phayom
warachit.ph@udru.ac.th
Witayakool Bunsiri
63041307111@udru.ac.th
<p>The objectives of this research were to design and examine the performance of solar-powered irrigation system on different daytime for sugarcane cultivation in Udon Thani. This study was conducted at the experimental area of the Faculty of Technology of Udon Thani Rajabhat University on an area of 6,480 m<sup>2</sup>, utilizing the sugarcane of the Khon Kaen 3 variety during the dry season. The study was divided into two parts: the design of a solar-powered irrigation system and the study of technical performances of the solar-powered irrigation system across different times of day. The payback period was calculated by comparing energy costs between using a solar pump with a petrol engine pump. As a result, a 2,200 W solar water pump and a 3 inches water pipeline with a pipe length of 167 m were designed for the 6,480 m<sup>2</sup> sugarcane fields. A drip irrigation system was selected to be used in sugarcane irrigation system because it turned out that the drip irrigation system improved the efficiency in irrigating sugarcane plantations. The drip tape had holes with a diameter of 16 mm and 20 cm apart. It was placed into two areas for the water to flow to the end of the tape. The solar panel used in this study was 445 W with a maximum voltage of 45.18 V/panel, and a string of 10 panels, connected in series. The result revealed that the system worked well at every time of the day, morning, noon, and afternoon. According to that, sugarcane met its water requirement by an hour. To be more specific, at the range of highest solar irradiance, it could produce a highest total system efficiency of 6.40% in the morning. In addition, the payback period was approximately 3.56 years comparing the solar pump with engine pump. Therefore, it could be concluded that the drip irrigation system was efficient in growing sugarcane, and also environmentally friendly.</p>
2024-05-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/article/view/254489
แผ่นพืชคลุมดินจากต้นฟักทองและปอเทืองเพื่อควบคุมวัชพืชสำหรับผักสวนครัว
2023-12-08T13:32:09+07:00
วิชุดา กล้าเวช
wichuda.kl@rmuti.ac.th
รัฐพล สมนา
rattapon.so@rmuti.ac.th
วรศิริ เดอ กาเดอเนต์
vorasiri@sut.ac.th
เกียรติสุดา สมนา
kiatsuda.so@rmuti.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาปริมาณธาตุอาหาร การย่อยสลายในดินและการย่อยสลายที่ผิวดินของแผ่นพืชคลุมดินจากต้นฟักทองและปอเทือง ศึกษาประสิทธิภาพในการควบคุมวัชพืชและศึกษาปริมาณการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของแผ่นพืชคลุมดินเมื่อเทียบกับการใช้วัสดุคลุมดินประเภทอื่น โดยในการดำเนินงานวิจัย วัสดุที่ใช้ ได้แก่ ต้นฟักทองสำหรับทำแผ่นพืช และปอเทืองบดเป็นวัสดุเพิ่มธาตุอาหาร ในปริมาณ 0, 2.5, 5 และ 10 กรัม ต่อพื้นที่ 600 ตารางเซนติเมตร และ ทดสอบคุณสมบัติ ได้แก่ การวิเคราะห์ปริมาณธาตุอาหาร การศึกษาการย่อยสลายในดินและการย่อยสลายที่ผิวดิน และการศึกษาการใช้แผ่นพืชคลุมดินจากฟักทองและปอเทืองในแปลงสาธิต ได้แก่ การหาร้อยละการขึ้นของวัชพืช การศึกษาปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของการใช้แผ่นพืชคลุมดิน จากผลการวิจัย พบว่า ปริมาณธาตุอาหารบนแผ่นพืชคลุมดินจากต้นฟักทองและปอเทืองมีโพแทสเซียมในระดับสูง (91 – 120 มก./กก.) ในตัวอย่างแผ่นพืชที่มีปริมาณปอเทืองบด 10 กรัมต่อพื้นที่ 600 ตารางเซนติเมตร การทดลองการย่อยสลายในดิน พบว่า ที่อายุ 15 วัน แผ่นพืชที่มีปริมาณปอเทืองบด 10 กรัมต่อพื้นที่ 600 ตารางเซนติเมตร ไม่พบแผ่นพืชจากต้นฟักทองและปอเทืองเหลืออยู่ สำหรับการย่อยสลายบนดิน พบว่า ยังมีแผ่นพืชจากต้นฟักทองและปอเทืองเหลืออยู่ มีน้ำหนักหายไปร้อยละ 12.35 ผลการทดสอบประสิทธิภาพในการควบคุมวัชพืชในแปลงสาธิต พบว่าที่อายุ 40 วัน มีค่าร้อยละการขึ้นของวัชพืช 57.5 เมื่อเปรียบเทียบกับแปลงที่ไม่คลุมดินมีค่าร้อยละ 82.50 ปริมาณการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศของแผ่นพืชมีค่า 3.0544 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ต่อกิโลกรัม ผลงานวิจัยนี้เกิดประโยชน์ต่อการนำไปใช้ควบคุมวัชพืชในแปลงผักสวนครัวสำหรับเกษตรกร และการต่อยอดสำหรับนักวิจัยในการพัฒนาแผ่นพืชคลุมดินให้มีประโยชน์สูงสุดต่อไป</p>
2024-05-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/article/view/252181
ระดับความรู้ ทัศนคติ และความตระหนักของครูระดับชั้นมัธยมศึกษาที่มีต่อปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชนในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และเขตพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย
2023-05-03T15:07:06+07:00
ชัชวรรณ ต๊ะผัด
chatchawan_jun@g.cmru.ac.th
ขจร ตรีโสภณากร
khajorn_tree@hotmail.com
สุชัญญา สุขสะอาด
suchanya.suk@ku.th
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรู้ ทัศนคติ และความตระหนักเกี่ยวกับปัญหาของบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนของครูระดับชั้นมัธยมศึกษา และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และความตระหนักต่อปัญหาของบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนของครูระดับชั้นมัธยมศึกษาในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและเขตพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างคือ ครูระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและเขตพื้นที่ภาคกลาง 498 คน ด้วยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามความรู้ ทัศนคติ และความตระหนักของครูระดับชั้นมัธยมศึกษาที่มีต่อปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรความรู้ ทัศนคติ และความตระหนักด้วยสหสัมพันธ์เพียร์สัน กำหนดระดับนัยสำคัญที่ .05 ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูมีความรู้เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ในระดับดี 2) ครูมีทัศนคติเชิงบวกต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน 3) ครูมีความตระหนักต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนอยู่ในระดับมาก และ 4) ความรู้ ทัศนคติ และความตระหนักต่อปัญหาของบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนของครูระดับชั้นมัธยมศึกษาในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและเขตพื้นที่ภาคกลางมีความสัมพันธ์กันทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการศึกษาเป็นแนวทางสำหรับครูนำไปขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าให้กับเยาวชนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเยาวชนซึ่งเป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญของประเทศได้ตระหนักถึงผลกระทบด้านสุขภาพ เพื่อการป้องกันการเกิดนักสูบหน้าใหม่</p>
2024-05-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/uruj/article/view/252541
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการบริหารโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์
2023-05-10T15:55:08+07:00
กฤษณพงค ฟองสินธุ์
sfongsin1@hotmail.com
ภัทร์อร ฟองสินธุ์
patorn@hotmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลกระทบและแนวทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่อการบริหารโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มผู้ควบคุมงานก่อสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 57 ตัวอย่าง โดยใช้แบบสอบถามเพื่อทำการวิเคราะห์และเรียงลำดับค่าดัชนีความรุนแรง ซึ่งเป็นการรวมค่าระดับความถี่และระดับความรุนแรงของแต่ละปัจจัย เพื่อหาปัจจัยที่มีผลกระทบทั้ง 5 ด้าน อันประกอบด้วย 1) ปัจจัยด้านบุคลากรที่เกี่ยวข้อง 2) ปัจจัยด้านการเงิน 3) ปัจจัยด้านเครื่องจักรในการก่อสร้าง 4) ปัจจัยด้านวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง และ 5) ปัจจัยด้านขั้นตอนวิธีการก่อสร้าง ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการบริหารโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กมากที่สุดคือ การขาดแคลนแรงงานเนื่องจากฤดูการทำการเกษตร มีค่าดัชนีความรุนแรงเท่ากับ 0.286 ส่วนปัจจัยที่มีผลกระทบน้อยที่สุดคือ การเกิดอุบัติเหตุในระหว่างก่อสร้าง มีค่าดัชนีความรุนแรงเท่ากับ 0.077 เมื่อพิจารณา 5 อันดับแรกของค่า S.I. สูงสุด พบว่ามีปัจจัยด้านการเงินถึง 3 ปัจจัย ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรมีการบริหารความเสี่ยงทางด้านการเงินของบริษัทผู้รับเหมาโครงการก่อสร้างในอนาคต อีกทั้งนำผลการวิจัยปัจจัยต่างๆ ที่ระบุในการศึกษาไปใช้เป็นแนวทางประกอบการพิจารณานโยบายการบริหารจัดการให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาของปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ</p>
2024-05-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์