วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru <p><strong>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี </strong><br /><strong>Udon Thani Rajabhat University Journal of Science and Technology </strong><br /><br /> มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการของคณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการและนักศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวารสารรับการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ ในกลุ่มวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา และคณิตศาสตร์ กลุ่มวิทยาศาสตร์ประยุกต์ สาขาวิทยาศาสตร์ สุขภาพ วิทยาศาสตร์การกีฬา วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม วัสดุศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพ กลุ่มเกษตรศาสตร์ สาขาพืชศาสตร์ เศรษฐศาสตร์เกษตร ประมง และสัตวศาสตร์ และกลุ่มวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเครื่องกล, พลังงาน อิเล็กทรอนิกส์ ไฟฟ้า และคอมพิวเตอร์</p> <p><strong>กำหนดจัดพิมพ์ออกเผยแพร่ ปีละ 3 ฉบับ (ราน 4 เดือน)</strong><br /> ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน) <br /> ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม – สิงหาคม) <br /> ฉบับที่ 3 (กันยายน – ธันวาคม)</p> th-TH scjournal@udru.ac.th (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิยวดี ยาบุษดี) scjournal@udru.ac.th (นายรุ่งโรจน์ มีแก้ว) Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การศึกษาเปรียบเทียบระบบผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดเล็ก สำหรับลดค่ากระแสไฟฟ้าภายในครัวเรือน https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/263118 <p>การทำวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพัฒนาระบบผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดเล็ก สำหรับลดค่ากระแสไฟฟ้าภายในครัวเรือน และ 2) วิเคราะห์เปรียบเทียบกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้แต่ละช่วงเวลาของเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าขนาดเล็กจำนวน 2 อุปกรณ์ ประกอบด้วยไมโครอินเวอร์เตอร์ขนาด 300 วัตต์ ยี่ห้อ DXM และ Hoymiles (DXM 300 และ MI-300) ทำงานร่วมกับเซลล์แสงอาทิตย์ขนาด 325 วัตต์ จำนวน 1 แผง อุปกรณ์ภายในติดตั้งในกล่องควบคุมขนาดความกว้าง 44 เซนติเมตร ยาว 61 เซนติเมตร และลึก 23 เซนติเมตร สำหรับนำไปเชื่อมไปเชื่อมต่อกับระบบการไฟฟ้าแบบ Plug &amp; Play สำหรับควบคุมการทำงานด้านไฟฟ้ากระแสตรง และไฟฟ้ากระสลับ เช่น ฟิวส์ เซอร์กิตเบรกเกอร์ อุปกรณ์ป้องกันไฟกระโชกทางไฟฟ้า พัดลมระบายความร้อนจำนวน 2 ตัว และมาตรวัดปริมาณทางไฟฟ้า ทดสอบผลิตกระแสไฟฟ้าในช่วงเวลา 08.00 ถึง 17.00 น. เฉลี่ย 6 ครั้งใน 1 ชั่วโมง ค่าเฉลี่ยทั้ง 3 วัน สามารถวัดค่าปริมาณค่ากำลังไฟฟ้าได้สูงสุดในเวลาช่วง 13.00 น. เท่ากับ 189.01 และ 273.86 วัตต์ พลังงานไฟฟ้าสะสมตลอดวันมีค่าเท่ากับ 1.27 และ 1.42 กิโลวัตต์ฮาว หรือ 1.27 และ 1.42 ยูนิตต่อวัน ทั้งนี้ไมโครอินเวอร์เตอร์ยี่ห้อ Hoymiles รุ่น MI-300 ทำงานได้ดีกว่าไมโครอินเวอร์เตอร์ยี่ห้อ DXM รุ่น DXM 300 ร้อยละ 30.98 อีกทั้งยังได้พลังงานสะสมตลอดวันมากกว่าร้อยละ 10.56</p> ศรายุทธ์ จิตรพัฒนากุล, กฤษณะ จันทสิทธิ์, ธีระวัฒน์ ชื่นอัศดงคต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/263118 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาถ่านชีวภาพจากเปลือกทุเรียนเพื่อใช้ในการดูดซับปุ๋ยฟอสฟอรัส https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/263212 <p>ถ่านชีวภาพจากเปลือกทุเรียนเพื่อใช้ในการดูดซับปุ๋ยฟอสฟอรัส ที่ใช้ในการศึกษานี้ได้จากกระบวนการเผาแบบไพโรไลซิสที่อุณหภูมิ 400-600 องศาเซลเซียส แล้วนำถ่านชีวภาพที่ได้มาวิเคราะห์โครงสร้างผลึกด้วยเทคนิคการเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ์ (XRD) วิเคราะห์โครงสร้างจุลภาคด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (SEM) วิเคราะห์องค์ประกอบธาตุด้วยการวัดพลังงานของรังสีเอ็กซ์ที่หลุดออกมาจากตัวอย่าง (EDS) และวิเคราะห์หาพื้นที่ผิวด้วยเทคนิค Brunauer-Emmett-Teller (BET) แล้วนำถ่านชีวภาพไปทดสอบการดูดซับฟอสฟอรัสที่เวลา 0.5, 1, 5, 10 และ 20 ชั่วโมง วิเคราะห์โครงสร้างจุลภาคของถ่านชีวภาพด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราดและวิเคราะห์ธาตุองค์ประกอบด้วยการวัดพลังงานของรังสีเอ็กซ์ที่หลุดออกมาจากตัวอย่าง ผลการวิเคราะห์โครงสร้างผลึกของถ่านชีวภาพจากเปลือกทุเรียนด้วยเทคนิคการเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ์ (XRD) พบเฟสคาร์บอนอสัณฐาน และแกรไฟต์ นอกจากนั้นยังพบโพแทสเซียมอะลูมิเนียมซิลิเกต ผลการวิเคราะห์โครงสร้างจุลภาคของถ่านชีวภาพจากเปลือกทุเรียนด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (SEM) พบโครงสร้างจุลภาคของถ่านชีวภาพจากเปลือกทุเรียนมีขนาดรูพรุนอยู่ในช่วง 10-20 μm และมีรูพรุนขนาดเล็ก ๆ ในรูพรุ่นใหญ่แทรกอยู่ ซึ่งมีขนาดรูพรุนอยู่ในช่วง 5-10 μm ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบธาตุของถ่านถ่านชีวภาพจากเปลือกทุเรียนด้วย EDS พบว่า มีคาร์บอนร้อยละ 51.96 เป็นธาตุหลัก รองลงมา ได้แก่ ออกซิเจน ร้อยละ 28.07 โพแตสเซียม ร้อยละ 12.58 แมกนีเซียม ร้อยละ 1.74 และฟอสฟอรัส ร้อยละ 1.64 และผลการวิเคราะห์พื้นที่ผิวด้วยเทคนิค Brunauer-Emmett-Teller (BET) โดยใช้ Gas adsorption ซึ่งถ่านชีวภาพจากเปลือกทุเรียนพื้นที่ผิวจำเพาะ (specific surface area) 113 ตารางเมตรต่อกรัม เวลาในการดูดซับฟอสฟอรัสของถ่านชีวภาพจากเปลือกทุเรียน มีค่ามากที่สุด คือเวลาดูดซับที่ 20 ชั่วโมง มีค่าดูดซับฟอสฟอรัส ที่ร้อยละ 7.60</p> โยธิน กัลยาเลิศ, ปัญญธิดา กาเยาว์, เอกชัย จงเสรีเจริญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/263212 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลของระยะเวลาการให้แสงจากหลอดไฟ LED ที่มีต่อการเติบโตและสรีรวิทยาของต้นกล้ายาง พันธุ์ RRIM 600 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/263169 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ผลของระยะเวลาการให้แสงจากหลอดไฟ LED ต่อการเจริญเติบโตและลักษณะทางสรีรวิทยาของต้นกล้ายางพันธุ์ RRIM 600 และ (2) ความสัมพันธ์ระหว่างการเจริญเติบโตกับสรีรวิทยาของต้นกล้ายาง การทดลองจัดแบบสุ่มสมบูรณ์ 4 ทรีตเมนต์ 3 ซ้ำ ได้แก่ แสงธรรมชาติ 12 ชั่วโมง (ไม่ให้แสงเสริม) และการให้แสง LED เสริมในตอนกลางคืน 4, 8 และ 12 ชั่วโมง ตามลำดับ เก็บข้อมูลการเจริญเติบโต ได้แก่ ความสูง เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น จำนวนใบ พื้นที่ใบ น้ำหนักสดและน้ำหนักแห้ง รวมถึงลักษณะทางสรีรวิทยา เช่น ปริมาณคลอโรฟิลล์ การสังเคราะห์แสง การคายน้ำ และการนำไฟฟ้าของปากใบ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวน เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วยวิธี LSD และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยการถดถอยเชิงเส้น</p> <p>ผลการทดลองพบว่า ระยะเวลาการให้แสงเสริมมีผลต่อการเจริญเติบโตของกล้ายางอย่างมีนัยสำคัญ (p&lt;0.05) โดยทรีตเมนต์ที่ให้แสงเสริม 12 ชั่วโมงมีค่าการเติบโตสูงสุด ได้แก่ เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นเฉลี่ย 8.66 มม. ความสูงเฉลี่ย 100.43 ซม. และพื้นที่ใบเฉลี่ย 67.78 ตร.ซม. ขณะที่ปริมาณคลอโรฟิลล์ การสังเคราะห์แสง และการคายน้ำไม่แตกต่างกันระหว่างทรีตเมนต์ อย่างไรก็ตาม การนำไฟฟ้าของปากใบมีความสัมพันธ์กับการเจริญเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การให้แสง LED เสริมในตอนกลางคืนสามารถเร่งการเจริญเติบโตของกล้ายางได้ โดยเฉพาะทรีตเมนต์ 4 ชั่วโมงซึ่งมีความเหมาะสมในด้านการประหยัดพลังงานและการส่งเสริมการเจริญเติบโต จึงเป็นแนวทางที่มีศักยภาพสำหรับการผลิตต้นกล้ายางคุณภาพสูงเพื่อลดระยะเวลาเพาะเลี้ยงและสนับสนุนการปลูกเชิงพาณิชย์</p> สมศักดิ์ สัพโส, จรรยา สิงห์คำ, วนาลัย วิริยะสุธี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/263169 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาผลิตภัณฑ์กัมมี่เยลลี่สาหร่ายผักกาดทะเลสูตรลดน้ำตาล https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/262233 <p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับความเข้มข้นของน้ำสาหร่ายผักกาดทะเลที่เหมาะสมในการผลิตกัมมี่เยลลี่ และปริมาณไอโซมอลทูโลสที่เหมาะสมในการผลิตกัมมี่เยลลี่สาหร่ายผักกาดทะเลสูตรลดน้ำตาล โดยใช้ระดับความเข้มข้นของน้ำสาหร่ายแตกต่างกัน 3 ระดับ ได้แก่ ร้อยละ 5 15 และ 25 พบว่า ผลิตภัณฑ์กัมมี่เยลลี่สาหร่ายผักกาดทะเลที่มีระดับความเข้มข้นของน้ำสาหร่ายร้อยละ 5 เป็นระดับที่เหมาะสมที่สุด ได้รับการยอมรับทางประสาทสัมผัสจากผู้ทดสอบมากที่สุด โดยได้คะแนนความชอบด้านสี กลิ่นรส รสชาติ และความชอบโดยรวมในระดับชอบปานกลาง มีค่าสี L*, a* และ b* เท่ากับ 32.00 0.43 และ 5.33 ตามลำดับ มีปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ทั้งหมด 66.0 <sup>o</sup> Brix และค่า a<sub>w</sub> เท่ากับ 0.86 เมื่อนำกัมมี่เยลลี่ที่มีความเข้มข้นของน้ำสาหร่ายร้อยละ 5 มาศึกษาการทดแทนน้ำตาลทรายด้วยสารให้ความหวานไอโซมอลทูโลส ที่แตกต่างกัน 3 ระดับ คือ ร้อยละ 0 15 และ25 พบว่า สามารถทดแทนน้ำตาลทรายด้วยไอโซมอลทูโลสในผลิตภัณฑ์กัมมี่เยลลี่ได้ในระดับ ร้อยละ 15 โดยผู้ทดสอบชิมให้คะแนนการยอมรับทางประสาทสัมผัสในทุกด้าน ได้แก่ สี กลิ่นรส รสชาติ ความยืดหยุ่น ความยากง่ายในการเคี้ยว และความชอบโดยรวม ไม่แตกต่างจากสูตรควบคุม (น้ำตาลทรายร้อยละ 100) ผลิตภัณฑ์กัมมี่เยลลี่สาหร่ายผักกาดทะเลที่ทดแทนน้ำตาลทรายด้วยไอโซมอลทูโลสร้อยละ 15 มีค่าสี L*, a* และ b* เท่ากับ 26.97, 1.17 และ10.60 ตามลำดับ มีปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ทั้งหมด 67.0 <sup>o</sup> Brix ค่าปริมาณความชื้นเท่ากับร้อยละ 10.14 และค่า a<sub>w</sub> เท่ากับ 0.85 ปริมาณพลังงานทั้งหมด เท่ากับ 2.81 kCal/g ค่าเนื้อสัมผัส พบว่า เมื่อใช้ไอโซมอลทูโลสในปริมาณที่สูงขึ้น มีผลทำให้ ค่า Hardness, Chewiness และ Gumminess ลดลง ทำให้กัมมี่เยลลี่มีความนุ่มและเคี้ยวง่ายขึ้น</p> กุลพร พุทธมี, วริศชนม์ นิลนนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/262233 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลของการเสริมหนอนแมลงวันลายอบแห้งในอาหารต่อการเจริญเติบโตและอัตราการรอดของลูกปลาหมอชุมพร 1 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/261924 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตราการเจริญเติบโตและอัตราการรอดของลูกปลาหมอชุมพร 1 โดยใช้หนอนแมลงวันลายเสริมในอาหาร วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely Randomized Design ; CRD) โดยเสริมหนอนแมลงวันลายอบแห้งในอาหารจำนวน 4 ชุดการทดลองคือ 0, 5, 10 และ 15 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ โดยให้มีโปรตีนในอาหาร 30 เปอร์เซ็นต์เท่ากัน เลี้ยงในระยะเวลา 60 วัน ผลการทดลองพบว่าน้ำหนักสุดท้ายเฉลี่ยชุดการทดลองที่ 4 เสริมหนอนแมลงวันลาย 15 เปอร์เซ็นต์ มีน้ำหนักสุดท้ายเฉลี่ยสูงที่สุดเท่ากับ 13.00±0.87 กรัม น้ำหนักเพิ่มต่อวันเท่ากับ 0.18±0.02 กรัมต่อวัน อัตราการเติบโตจำเพาะเท่ากับ 9.58±0.01 เปอร์เซ็นต์ต่อวัน อัตราแลกเนื้อเท่ากับ 1.10±0.02 ประสิทธิภาพของอาหารเท่ากับ 0.91±0.08 โดยมีความแตกต่างกันทางสถิติ (p&lt;0.05) และความยาวสุดท้ายเฉลี่ยสูงที่สุดเท่ากับ 10.55±0.16 เซนติเมตร และอัตราการรอดเท่ากับ 86.00±2.86 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (p&gt;0.05) การเพิ่มประสิทธิภาพการเจริญเติบโตลูกปลาหมอชุมพร 1 โดยทำการเสริมหนอนแมลงวันลายอบแห้งในปริมาณ 15 เปอร์เซ็นต์จะส่งผลต่ออัตราการเจริญเติบโตและอัตราการรอดของลูกปลาหมอชุมพร 1 ดีที่สุด หนอนแมลงวันลายเป็นแหล่งโปรตีนทางเลือกที่สามารถลดต้นทุนค่าอาหารสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงและช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์น้ำที่มีราคาแพงในการเลี้ยงปลาหมอชุมพร 1</p> วรพรภัฏ ปัดภัย, กนกกาญจน์ รีบเร่งรัมย์, วิชชุดา ยินดี, สายฝน ทดทะศรี, กฤตกนก พาบุ, กิตติศักดิ์ ร่วมพัฒนา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/261924 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700