วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru <p><strong>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี </strong><br /><strong>Udon Thani Rajabhat University Journal of Science and Technology </strong><br /><br /> มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการของคณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการและนักศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวารสารรับการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ ในกลุ่มวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา และคณิตศาสตร์ กลุ่มวิทยาศาสตร์ประยุกต์ สาขาวิทยาศาสตร์ สุขภาพ วิทยาศาสตร์การกีฬา วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม วัสดุศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพ กลุ่มเกษตรศาสตร์ สาขาพืชศาสตร์ เศรษฐศาสตร์เกษตร ประมง และสัตวศาสตร์ และกลุ่มวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเครื่องกล, พลังงาน อิเล็กทรอนิกส์ ไฟฟ้า และคอมพิวเตอร์</p> <p><strong>กำหนดจัดพิมพ์ออกเผยแพร่ ปีละ 3 ฉบับ (ราน 4 เดือน)</strong><br /> ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน) <br /> ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม – สิงหาคม) <br /> ฉบับที่ 3 (กันยายน – ธันวาคม)</p> Udon Thani Rajabhat University th-TH วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2287-0083 การศึกษาวิเคราะห์สมรรถนะรถตัดหญ้านั่งขับเคลื่อนที่ด้วยระบบไฮดรอลิค สำหรับพื้นที่เกษตรแปลงใหญ่ https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/259819 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการทำงานและวิเคราะห์สมรรถนะของรถตัดหญ้านั่งขับเคลื่อนที่ด้วยระบบไฮดรอลิคในทางการเกษตร โดยออกแบบการทดลองภายใต้สภาวะแวดล้อมที่ควบคุมได้เพื่อทดสอบสมรรถนะ ตัวแปรที่ศึกษาแบ่งเป็นตัวแปรอิสระ ได้แก่ ความเร็วการเคลื่อนที่ของรถ ความกว้างการตัดหญ้า และกำลังของเครื่องยนต์ ส่วนตัวแปรตามประกอบด้วย อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ระยะเวลาการทำงาน และประสิทธิภาพทางเศรษฐศาสตร์ โครงสร้างรถมีขนาดความกว้าง 110 เซนติเมตร ความยาว 180 เซนติเมตร และความสูง 70 เซนติเมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 15.5 แรงม้า (11.4 กิโลวัตต์) ส่งกำลังไปยังปั๊มไฮดรอลิคผ่านวาล์วควบคุมด้วยมือ เพื่อให้มอเตอร์ควบคุมการทำงานของเพลาส่งกำลังไปสู่ล้อขับเคลื่อน พร้อมชุดเกียร์ตัดหญ้าอัตราส่วน 1:1.93 ใบตัดกว้าง 7.62 ซม. ยาว 90 ซม. และหนา 1 ซม. การทดสอบการทำงานในพื้นที่ขนาด 1 ไร่ (ที่ความเร็ว 5 กม./ชม.) พบว่าอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ 0.56 ลิตรต่อไร่ ใช้เวลาเฉลี่ยในการตัดหญ้า 20.17 นาทีต่อไร่ หรือมีประสิทธิภาพการทำงานเทียบเท่ากับ 18.69 ไร่ต่อวัน จากการวิเคราะห์เชิงเศรษฐศาสตร์พบว่าต้นทุนการผลิตของรถตัดหญ้านี้อยู่ที่ 160,000 บาท หากใช้งานตัดหญ้าเดือนละ 1 ครั้ง จุดคุ้มทุนจะอยู่ที่ 22.98 ไร่ต่อปี โดยระยะเวลาคืนทุนคือ 8 ปี 8 เดือน 20 วัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าของการลงทุนและการลดต้นทุนค่าจ้างเหมาในการตัดหญ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> ธีรวัฒน์ ชื่นอัศดงคต ศรายุทธ์ จิตรพัฒนากุล อาทิตย์ คำต่าย Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2025-04-30 2025-04-30 13 1 1 13 การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์หมูยอแบบห่อใบตองเทียบกับแบบห่อพลาสติก https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/260270 <p>การศึกษาเชิงพรรณนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์หมูยอแบบห่อใบตองเทียบกับแบบห่อพลาสติก ทำการศึกษา ณ ร้านหมูยอแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โดยใช้หลักการ Cradle to Grave ครอบคลุมตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การขนส่ง การใช้งาน จนถึงการกำจัดเศษซากผลิตภัณฑ์ หน่วยการทำงาน (Functional Unit) คือหมูยอ 1 กิโลกรัม ผลการศึกษา พบว่า คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของหมูยอห่อใบตองและห่อพลาสติก เท่ากับ 11.95 และ 11.57 kgCO<sub>2</sub>eq/กิโลกรัม ตามลำดับ โดยหมูยอห่อใบตองปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าหมูยอห่อพลาสติกที่ 0.38 kgCO<sub>2</sub>e/kg โดยขั้นตอนกระบวนการได้มาซึ่งวัตถุดิบและขั้นตอนการกำจัดของเสีย เป็นขั้นตอนที่หมูยอห่อใบตองปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าหมูยอห่อพลาสติก เนื่องจากน้ำหนักของใบตองจะหนักกว่าพลาสติก ในส่วนของการได้มาซึ่งวัตถุดิบ เนื้อหมูจะมีค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดเมื่อเทียบกับวัตถุดิบอื่นๆ เนื่องจากใช้เป็นวัตถุดิบหลักและมีค่า Emission Factor สูงที่สุดเมื่อเทียบกับวัตถุดิบตัวอื่น รองลงมาของขั้นตอนที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดคือ กระบวนการผลิต ที่มีการใช้ไฟฟ้าและก๊าซ LPG มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับ 4.2323 kgCO<sub>2</sub>e/kg ดังนั้น แนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกควรมุ่งเน้นการ ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและก๊าซ LPG ในขั้นตอนการผลิตโดยหาแหล่งพลังงานทางเลือกที่เป็นพลังงานสะอาดมา ทดแทน และพิจารณาใช้บรรจุภัณฑ์ทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแทนใบตอง เช่น พลาสติกที่ย่อยสลายได้ เป็นต้น</p> กนกพร เชิงรัมย์ ณัฐวรา วงษ์เทพ สง่า ทับทิมหิน ทัศนีย์ เจียรพสุอนันต์ ปวีณา ลิมปิทีปราการ Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2025-04-30 2025-04-30 13 1 15 29 การพัฒนาเกมคลายเครียดและบริหารสมองสำหรับผู้สูงอายุ โรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลตำบลคลองด่าน https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/260430 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาเกมคลายเครียดและบริหารสมองสำหรับผู้สูง อายุโรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลตำบลคลองด่าน 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้สูงอายุที่มีต่อเกมคลายเครียดและบริหารสมองสำหรับผู้สูงอายุโรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลตำบลคลองด่าน การดำเนินการวิจัย ผู้วิจัยพัฒนาเกมคลายเครียดและบริหารสมองสำหรับผู้สูงอายุ จำนวน 3 เกม ได้แก่เกมจับคู่ เกมคณิตคิดสนุก และเกมท้าทายความจำ ใช้วิธีการพัฒนาระบบตามวงจรพัฒนาระบบงาน (SDLC) ใช้ภาษาโปรแกรม HTML CSS JavaScript และ PHP ในการพัฒนาแอปพลิเคชันเกม ใช้โปรแกรม MySQL ในการจัดการฐานข้อมูล ใช้ Bootstrap Framework ในการจัดรูปแบบการแสดงผลเกมบนเบราว์เซอร์ (Web Browser) ในรูปแบบ Responsive Web Design การพัฒนาเกมคลายเครียดและบริหารสมองสำหรับผู้สูงอายุนี้ได้ให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินประสิทธิภาพของระบบแล้วพบว่ามีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.67 ถึง 1.00 โดยให้กลุ่มตัวอย่างทำการทดลองเล่นเกมและเก็บข้อมูลการประเมินความ พึงพอใจ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) การพัฒนาเกมคลายเครียดและบริหารสมองสำหรับผู้สูงอายุทั้ง 3 เกม มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับดี ค่าเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 3.86 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" />=3.86) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.74 (S.D.=0.74) ในภาพรวมการพัฒนาเกมมีความหมาะสมกับผู้สูงอายุ ทั้ง 3 เกม มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับดี ซึ่งค่าเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 3.91 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" />=3.91) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.75 (S.D.=0.75) 2) ความพึงพอใจต่อการเล่นเกมคลายเครียดและบริหารสมองสำหรับผู้สูงอายุทั้ง 3 เกม มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับดี ซึ่งค่าเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 3.86 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" />=3.86) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.73 (S.D.=0.73) ในภาพรวมผู้เล่นสามารถคลายเครียดกับการเล่นเกมได้ ทั้ง 3 เกม มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับดี ซึ่งค่าเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 3.91 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" />=3.91) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.72 (S.D.=0.72) และในภาพรวมผู้เล่นสามารถนำไปฝึกบริหารสมองในชีวิตประจำวันได้ ทั้ง 3 เกม มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับดี ซึ่งค่าเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 3.98 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{x}" alt="equation" />=3.98) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.76 (S.D.=0.76)</p> วิวัฒน์ จูวราหะวงศ์ วรรณวิสาข์ สุกปลั่ง Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2025-04-30 2025-04-30 13 1 31 47 กระถางเพาะชำจากเศษหญ้า https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/260948 <p>การศึกษากระถางเพาะชำจากเศษหญ้า โดยนำเศษหญ้าที่เหลือจากการปรับปรุงภูมิทัศน์สถานที่ในมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดปทุมธานี มาทำเป็นกระถางเพาะชำที่ย่อยสลายได้จากหญ้าที่ผลิตขึ้นจากวัสดุธรรมชาติ โดยนำกาวลาเท็กซ์ขนาด 10 กรัม ผสมน้ำเปล่า 300 มิลลิลิตร แล้วนำเศษหญ้าที่ผ่านคัดแยกสิ่งปนเปื้อนออกมาผสมกับกาวลาเท็กซ์ในอัตราส่วน 9 : 1, 8 : 2, 7 : 3 แล 6 : 4 โดยมวล ใช้แรงอัดจากแม่แรง 1 ตัน และให้ความร้อนที่แบบอัดกระถางที่ 120 องศาเซลเซียสในการขึ้นรูปกระถาง เป็นเวลา 3 นาที แล้วศึกษาคุณสมบัติทางกายภาพของกระถางเพาะชำจากเศษหญ้า โดยศึกษาอัตราส่วนผสมของเศษหญ้ากับกาวลาเท็กซ์ที่มีผลต่อการขึ้นรูปเป็นกระถาง ค่าการดูดซับน้ำของกระถางเพาะชำจากเศษหญ้า ค่าความต้านทานแรงกดของกระถางเพาะชำจากเศษหญ้า และการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ของกระถางเพาะชำจากเศษหญ้า จากการศึกษาอัตราส่วนผสมเศษหญ้ากับกาวลาเท็กซ์ที่มีผลต่อการขึ้นรูปเป็นกระถางเพาะชำจากเศษหญ้า พบว่า อัตราส่วน 6 : 4 และ 7 : 3 สามารถขึ้นรูปได้ดี แต่อัตราส่วน 9 : 1 ไม่สามารถขึ้นรูปได้ อัตราส่วนผสมเศษหญ้ากับกาวลาเท็กซ์ที่มีผลต่อค่าการดูดซับน้ำของกระถางเพาะชำจากเศษหญ้า ในระยะเวลา 1 ชั่วโมง พบว่า อัตราส่วน 9 : 1 มีค่าการดูดซับน้ำมากที่สุดร้อยละ 329.37 สำหรับอัตราส่วนผสมเศษหญ้ากับกาวลาเท็กซ์ที่มีค่าความต้านทานแรงกดของกระถางเพาะชำจากเศษหญ้า พบว่า อัตราส่วน 6 : 4 มีความสามารถทนแรงกดได้ดีที่สุด ที่ 1.00 เมกะปาสคาล มีความยืดหยุ่นในการกดที่ 4.0 มิลลิเมตร และผลการคำนวณปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกระถางเพาะชำจากเศษหญ้า พบว่า อัตราส่วน 6 : 4 ปลดปล่อย 3.271 kgCO<sub>2eq </sub>มีค่าน้อยที่สุด หากมีการลดการเดินทางจะเหลือการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 0.502 kgCO<sub>2eq</sub></p> โยธิน กัลยาเลิศ ปัญญธิดา กาเยาว์ ขนิษฐา ภมรพล เอกชัย เสรีเจริญ Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2025-04-30 2025-04-30 13 1 49 62 ผลของชนิดอาหารต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะเลี้ยงหนอนแมลงวันลาย (Hermetia illucens L.) https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/260955 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประเภทอาหารที่เหมาะสมต่อการเลี้ยงเพิ่มปริมาณหนอนแมลงวันลาย โดยการใช้แผนแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (CRD) ทดสอบอาหาร 5 ชนิด ได้แก่ ผักคะน้า กะหล่ำปลี แตงโม มะละกอ และสับปะรด จำนวน 20 ซ้ำ โดยเริ่มทดสอบจากระยะตัวหนอนอายุ 1 วัน จนถึง 56 วัน ในกล่อง พลาสติกขนาด 20x30x15 ซม. จำนวน 200 ตัว/กล่อง พบว่าหนอนแมลงวันลายสามารถพัฒนาการได้ครบวงจรชีวิตและผลิตไข่ได้ในทุกกลุ่มทดลอง โดยหนอนที่เลี้ยงด้วย คะน้าและกะหล่ำปลีมีระยะการเจริญเติบโตสั้นที่สุด (48-49 วัน) เมื่อเทียบกับกลุ่มที่เลี้ยงด้วยผลไม้ (50-56 วัน) ด้านน้ำหนักตัว พบว่า ในทุกระยะการเจริญเติบโต หนอนที่เลี้ยงด้วยคะน้ามีน้ำหนักสูงสุด โดยระยะหนอนวัยสุดท้ายมีน้ำหนัก 0.175 ก./ตัว ซึ่งแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับกลุ่มที่เลี้ยงด้วยแตงโม มะละกอ และสับปะรด ขณะที่ระยะก่อนเข้าดักแด้และระยะดักแด้ หนอนแมลงวันลายที่เลี้ยงด้วยคะน้ามีน้ำหนักสูงที่สุดที่ 0.189 ก./ตัว และ 0.084 ก./ตัว ตามลำดับ แต่ไม่มีความแตกต่างทางสถิติกับกลุ่มที่เลี้ยงด้วยกะหล่ำปลี อัตราการรอดชีวิตตั้งแต่ระยะหนอนถึงตัวเต็มวัยพบว่าสูงสุดในกลุ่มที่เลี้ยงด้วยสับปะรด (83.23%) แต่ไม่แตกต่างทางสถิติกับกลุ่มที่เลี้ยงด้วยมะละกอ (80.52%) และแตงโม (78.21%) ในขณะที่กลุ่มที่เลี้ยงด้วยผักคะน้าและกะหล่ำปลีมีอัตราการรอดชีวิตต่ำกว่า 70% ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าการเลือกประเภทอาหารมีผลต่อการเจริญเติบโตและอัตราการรอดของหนอนแมลงวันลาย โดยคะน้าและกะหล่ำปลีช่วยเร่งการพัฒนาและเพิ่มน้ำหนักตัว ขณะที่สัปปะรดส่งผลให้อัตราการรอดชีวิตสูงสุด</p> สายฝน ทดทะศรี วรพรภัฏ ปัดภัย วิชชุดา ยินดี กนกกาญจน์ รีบเร่งรัมย์ กฤตกนก พาบุ กิตติศักดิ์ ร่วมพัฒนา Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2025-04-30 2025-04-30 13 1 63 77 องค์ประกอบและการปลดปล่อยคาร์บอนของการกำจัดขยะมูลฝอย กรณีศึกษาศูนย์วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดปทุมธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/260991 <p>งานวิจัยนี้ศึกษาองค์ประกอบและประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของขยะมูลฝอย ของศูนย์วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์จังหวัดปทุมธานี เก็บข้อมูลระหว่างเดือนเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2566 ถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2567 นำมาคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยใช้ค่าสัมประสิทธิของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีหน่วยเป็นคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ตามแนวทางของคณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และตามแนวทางของหน่วยงานองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ผลการศึกษาพบสัดส่วนขยะประเภทอาหารมีปริมาณมากที่สุดร้อยละ 51.21 รองลงมาคือกระดาษร้อยละ 20.70 และพลาสติกร้อยละ 20.13 พบโฟมมีสัดส่วนน้อยที่สุดคือร้อยละ 0.35 และอื่นๆ ร้อยละ 7.61 ปริมาณการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการกำจัดมูลฝอยรวมมีค่าเท่ากับ 2.118 kgCO<sub>2eq</sub> ต่อปี เศษอาหารมีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดคือ 1.106 kgCO<sub>2eq</sub> ต่อปี รองลงมาคือกระดาษ 0.518 kgCO<sub>2eq</sub> ต่อปี และพลาสติก 0.323 kgCO<sub>2eq</sub> ต่อปี และขยะประเภทโลหะและอลูมิเนียมมีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยที่สุดเท่ากับ 0.004 kgCO<sub>2eq</sub> ต่อปี</p> ณหทัย โชติกลาง มณทิพย์ จันทร์แก้ว Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2025-04-30 2025-04-30 13 1 79 94