https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/issue/feed วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2024-08-31T00:00:00+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิยวดี ยาบุษดี scjournal@udru.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี </strong><br /><strong>Udon Thani Rajabhat University Journal of Science and Technology </strong><br /><br /> มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการของคณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการและนักศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวารสารรับการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ ในกลุ่มวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา และคณิตศาสตร์ กลุ่มวิทยาศาสตร์ประยุกต์ สาขาวิทยาศาสตร์ สุขภาพ วิทยาศาสตร์การกีฬา วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม วัสดุศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพ กลุ่มเกษตรศาสตร์ สาขาพืชศาสตร์ เศรษฐศาสตร์เกษตร ประมง และสัตวศาสตร์ และกลุ่มวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเครื่องกล, พลังงาน อิเล็กทรอนิกส์ ไฟฟ้า และคอมพิวเตอร์</p> <p><strong>กำหนดจัดพิมพ์ออกเผยแพร่ ปีละ 3 ฉบับ (ราน 4 เดือน)</strong><br /> ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน) <br /> ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม – สิงหาคม) <br /> ฉบับที่ 3 (กันยายน – ธันวาคม)</p> https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/257433 การพัฒนาระบบกังหันลมร่วมกับพลังงานแสงอาทิตย์ผลิตกระแสไฟฟ้า สำหรับบ้านพักอาศัยในระดับครัวเรือน 2024-08-02T17:31:32+07:00 ศรายุทธ์ จิตรพัฒนากุล sarayut134@gmail.com วยากร อุดมโภชน์ sarayut.c@rbru.ac.th กฤษณะ จันทสิทธิ์ sarayut.c@rbru.ac.th ปัญญา วงศ์ต่าย sarayut.c@rbru.ac.th <p><strong> </strong>การทำวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและพัฒนาระบบกังหันลมร่วมกับพลังงานแสงอาทิตย์ผลิตกระแสไฟฟ้า สำหรับบ้านพักอาศัยในระดับครัวเรือน และ 2) วิเคราะห์เปรียบเทียบกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากกังหันลม พลังงานแสงอาทิตย์ และกังหันลมร่วมกับพลังงานแสงอาทิตย์ อุปกรณ์ประกอบด้วยกังหันลมขนาด 12 โวลต์ 100 วัตต์ ทำงานร่วมกับแผงโซล่าเซลล์ขนาด 120 วัตต์ ติดตั้งบนโครงสร้างขนาดความกว้าง 85 เซนติเมตร ยาว 120 เซนติเมตร ด้านหน้าสูง 135 เซนติเมตร และด้านหลังสูง 145 เซนติเมตร ด้านหลังของโครง สร้างติดตั้งเสาสำหรับยึดกังหันลม สามารถปรับระดับความสูงรวม 320 เซนติเมตร ภายในกล่องควบคุมติดตั้งเครื่องแปลงไฟฟ้ากระแสตรง แบตเตอรี่ขนาด 65 แอมแปร์ ทดสอบผลิตกระแสไฟฟ้าจากกังหันลมด้วยความเร็วลมคงที่ 5-7 เมตรต่อวินาที รับพลังงานแสงอาทิตย์ผ่านแผงโซล่าเซลล์ในช่วงเวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. เฉลี่ย 6 ครั้งใน 1 ชั่วโมง ผลการทดสอบพบว่า ค่าเฉลี่ยร้อยละปริมาณของแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นทั้ง 3 รูปแบบ วัดจากปริมาณแบตเตอรี่ภายในร้อยละ 40 มีค่าเท่ากับร้อยละ 5, 10 และ 15 (ตามลำดับ) โดยระบบกังหันลมทำงานร่วมกับแผงโซล่าเซลล์จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เร็วสุดภายในระยะเวลา 4 ชั่วโมง เหมาะสมต่อการผลิตกระแสไฟฟ้าใน 1 วัน</p> 2024-08-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/256805 วิธีการหาค่าเหมาะที่สุดสำหรับปัญหาการขนส่งฟัซซี่สหัชญาณสี่เหลี่ยมคางหมู 2024-08-02T17:26:19+07:00 ดรุณี หันวิสัย send2darunee3790@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาวิธีการแก้ปัญหาการขนส่งฟัซซี่สหัชญาณสี่เหลี่ยมคางหมู (Trapezoidal intuitionistic fuzzy transportation) เมื่อค่าใช้จ่ายในการขนส่งมีความไม่แน่นอนหรือมีความคลุมเครือ ผู้วิจัยได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหา โดยใช้วิธีมุมตะวันตกเฉียงเหนือ (North-west corner method) ในการหาผลลัพธ์เบื้องต้น และทำการตรวจสอบ ปรับปรุงค่าใช้จ่ายในการขนส่งด้วยวิธีการกระจายแบบดัดแปลง (Modified distribution method) เพื่อให้ได้คำตอบที่เหมาะสมที่สุด ผลการศึกษาพบว่าวิธีที่นำเสนอภายใต้เงื่อนไขความไม่แน่นอน สามารถหาคำตอบที่ถูกต้องและเหมาะสมได้</p> 2024-08-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/257936 อิทธิพลของน้ำส้มควันไม้ต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของเมล่อน 2024-08-16T11:58:18+07:00 โฉมยง ไชยอุบล yaovapol.ch@udru.ac.th เยาวพล ชุมพล yaovapol.ch@udru.ac.th วชิราวุธ พิศยะไตร yaovapol.ch@udru.ac.th วีระชัย ทองดี yaovapol.ch@udru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาอิทธิพลของน้ำส้มควันไม้ต่อการเจริญเติบโต และผลผลิตของเมล่อนสายพันธุ์จันทร์ฉาย แผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์(Completely Randomized Design: CRD) จำนวน 6 ซ้ำ ปลูกเมล่อนสายพันธุ์จันทร์ฉายลงในถุงพลาสติกดำ ซึ่งกำหนดให้อัตราส่วนผสมของน้ำส้มควันไม้ต่อน้ำเป็นทรีตเมนต์ ซึ่งมี 4 ทรีตเมนต์ ได้แก่ ทรีตเมนต์ที่ 1 รดต้นเมล่อนด้วยน้ำเปล่า (T1) คือ ชุดควบคุม ทรีตเมนต์ที่ 2 รดด้วยน้ำส้มควันไม้ต่อน้ำในอัตราส่วน 1:100 (T2) ทรีตเมนต์ที่ 3 รดด้วยน้ำส้มควันไม้ต่อน้ำในอัตราส่วน 1:200 (T3) และทรีตเมนต์ที่ 4 รดด้วยน้ำส้มควันไม้ต่อน้ำในอัตราส่วน 1:300 (T4) ซึ่งทำการรดต้นเมล่อนด้วย 4 ทรีตเมนต์นี้ ทุกสัปดาห์หลังย้ายปลูก จากนั้นวัดการเจริญเติบโตของต้นเมล่อนในด้านต่าง ๆ ทุกสัปดาห์ ได้แก่ ด้านความสูง จำนวนใบ ความกว้างใบ ความยาวใบ และความยาวก้านใบ สำหรับความกว้างผล ความยาวผล น้ำหนักผล และค่าความหวาน จะทำการตรวจวัดที่อายุเก็บเกี่ยวเมล่อนครบ 6 สัปดาห์ จากผลการทดลอง พบว่า การรดต้นเมล่อนด้วยทรีตเมนต์ที่ 2 (1:100) และทรีตเมนต์ที่ 3 (1:200) เมื่อต้นเมล่อน มีอายุ 1, 2 และ 6 สัปดาห์หลังย้ายปลูก มีผลทำให้ความสูงของต้นเมล่อนมีค่าสูงที่สุดและมีความแตกต่างกันทางสถิติ แต่ไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตในด้านจำนวนใบ ความยาวก้านใบ ความยาวใบ และความกว้างของใบเมล่อน อีกทั้งยังไม่มีผลต่อความยาวผล ค่าความหวาน และน้ำหนักผลผลิตเฉลี่ยของผลเมล่อน ในการวิจัยครั้งนี้อาจสรุปได้ว่าน้ำส้มควันไม้ในอัตราส่วนผสมต่อน้ำที่ 1:100 และ 1:200 มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของเมล่อนในด้านความสูงของลำต้นในช่วงอายุ 1-6 สัปดาห์ หลังย้ายปลูก</p> 2024-08-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/257974 ปริมาณฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์รวม ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสของสารสกัดส่วนใบและเหง้าว่านสาวหลง 2024-08-20T08:31:23+07:00 อรณิชา ครองยุติ ornnicha.k@udru.ac.th สุภัสสร วันสุทะ supasson.wa@udru.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสรวมทั้งวิเคราะห์ปริมาณฟีนอลิกรวมและปริมาณฟลาโวนอยด์รวมของสารสกัดเอทานอลจากว่านสาวหลง โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนใบและส่วนรากหรือเหง้าของว่านสาวหลง การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระทำโดยวิธี 2,2–diphenyl–1–picrylhydrazyl (DPPH assay) การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสด้วยวิธี Dopachrome method การวิเคราะห์ปริมาณ ฟีนอลิกรวมด้วยวิธี Folin-Ciocalteu assay และการวิเคราะห์ปริมาณ ฟลาโวนอยด์รวมทำโดยวิธี Aluminum chloride colorimetric assay จากการศึกษา พบว่า สารสกัดเอทานอลจากใบว่านสาวหลง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากที่สุด (IC<sub>50</sub>= 2,085.64 ± 2.86 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร) นอกจากนี้ยังพบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสมากที่สุด (IC<sub>50</sub>= 262.02 ± 5.89 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร) ปริมาณสารฟีนอลิกรวม เท่ากับ 21.92 ± 0.79 มิลลิกรัมสมมูลของกรดแกลลิกต่อกรัมสารสกัด และปริมาณสารฟลาโวนอยด์รวม เท่ากับ 14.12 ± 0.12 มิลลิกรัมสมมูลของเควอซิทินต่อกรัมสารสกัด การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดใบว่านสาวหลงเป็นแหล่งของสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่น่าสนใจ ซึ่งอาจเป็นสมุนไพรทางเลือกในการนําไปใช้ประโยชน์ทางด้านเวชสำอาง ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และวิจัยต่อยอดด้านเภสัชวิทยาเพื่อการพัฒนาเป็นสารออกฤทธิ์ทางยาต่อไป</p> 2024-08-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/257585 การศึกษาการคาร์บอไนเซชันของเปลือกมะพร้าวอ่อนเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิต โดยใช้เตาเผาถ่านไร้ควัน 2024-08-20T15:46:35+07:00 จิรพันธ์ โชติรัตนศักดิ์ jiraphan.chotiratanasak@gmail.com ธราพงษ์ วิทิตศานต์ Tharapong.V@chula.ac.th ณัฐหทัย ชื่นบาน nuthathai.c@esquare.co.th ชานน เชิดชูวงศ์ธนากร chanon.c@esquare.co.th ภูริทัต อยู่สบาย phurithat.y@rmutsb.ac.th จารุ นาถกรณกุล jaru.n@esquare.co.th <p>ปัจจุบันประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตและส่งออกมะพร้าวน้ำหอมที่ทำการตกแต่งผลแล้ว จำนวนมากกว่า 600 ล้านผลต่อปี ซึ่งกระบวนการตัดแต่งผลมะพร้าวน้ำหอมส่งผลให้เกิดเปลือกมะพร้าวน้ำหอมเหลือทิ้งเป็นจำนวนมาก คิดเป็นเปลือกมะพร้าวเหลือทิ้ง 600,000 ตันต่อปี ส่งผลให้เกิดปัญหาในการจัดการของเสียที่เกิดขึ้น ในงานวิจัยนี้จึงได้ทำการศึกษาการคาร์บอไนเซชันเปลือกมะพร้าวน้ำหอมโดยใช้เตาเผาถ่านไร้ควัน เพื่อผลิตเป็นถ่านชีวภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำการเปรียบเทียบการคาร์บอไนเซชัน และคุณสมบัติของถ่านชีวภาพที่ได้จากชีวมวลต่างชนิดกัน ได้แก่ เปลือกมะพร้าวน้ำหอม เหง้ามันสำปะหลัง ไม้ไผ่ และ ไม้กระถินยักษ์ โดยผลการทดลองพบว่า เปลือกมะพร้าวน้ำหอมได้ร้อยละผลได้ของการคาร์บอไนเซชันเฉลี่ย ร้อยละ 35.72 โดยน้ำหนัก เมื่อเปรียบเทียบกับผลของการคาร์บอไนเซชันชีวมวลชนิดอื่นรวมถึงคุณสมบัติของถ่านชีวภาพที่ได้จากชีวมวลต่างชนิดกัน พบว่า เปลือกมะพร้าวน้ำหอมมีคุณสมบัติของถ่านชีวภาพใกล้เคียงกับถ่านชีวภาพจากไม้ไผ่ซึ่งเป็นชีวมวลที่ได้รับความนิยมในการนำมาผลิตเป็นถ่านชีวภาพ นอกจากนี้ยังได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบการใช้เชื้อเพลิงในการคาร์บอไนเซชัน โดย ใช้เชื้อเพลิงที่แตกต่างกัน 2 ชนิด ได้แก่ ชีวมวล และน้ำมันเครื่องใช้แล้ว พบว่า การใช้เชื้อเพลิงทั้งสองชนิดส่งผลต่อร้อยละผลได้ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แต่ส่งผลต่อต้นทุนในการผลิตถ่านชีวภาพ โดย น้ำมันเครื่องใช้แล้วมีต้นทุนในการผลิตสูงกว่าการใช้ชีวมวลเป็นเชื้อเพลิง</p> 2024-08-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/257940 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและปริมาณฟีนอลิกรวมของสารสกัดหยาบจากส่วนต่าง ๆ ของดอกบัวหลวงสีชมพู 2024-08-16T14:18:30+07:00 จีรพรรณ เทียนทอง jeerapan.t@nsru.ac.th วิรังรอง แสงอรุณเลิศ jeerapan.t@nsru.ac.th สาวิตรี ซัคลี่ย์ jeerapan.t@nsru.ac.th ดารณี นิลทอง jeerapan.t@nsru.ac.th สุภาวิณี แก้วบังเกิด jeerapan.t@nsru.ac.th <p> งานวิจัยนี้มุ่งเน้นการศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและปริมาณฟีนอลิกรวมของสารสกัดจากดอกบัวหลวงสีชมพู ซึ่งเป็นพืชที่ปลูกมากในจังหวัดพิจิตร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่สามารถเพิ่มมูลค่าในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือเครื่องดื่มที่ช่วยลดอนุมูลอิสระในร่างกาย การวิจัยนี้ทำการสกัดส่วนต่าง ๆ ของดอกบัวหลวงสีชมพู ได้แก่ กลีบดอก, เกสร, และรังไข่ ทั้งในรูปแบบสดและอบแห้ง โดยใช้ตัวทำละลายเอทานอลบริสุทธิ์และเอทานอลผสมน้ำ (1:1 โดยปริมาตร) จากนั้นนำสารสกัดหยาบมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH และวัดปริมาณฟีนอลิกรวมด้วยวิธี Folin-Ciocalteu ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดจากส่วนต่าง ๆ ของบัวหลวงในรูปแบบอบแห้งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าสารสกัดจากบัวหลวงสด โดยเฉพาะสารสกัดจากเกสรอบแห้งที่ใช้ตัวทำละลายเอทานอลผสมน้ำ ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ DPPH สูงสุด (IC<sub>50</sub> = 9.31±1.45 µg/mL) เมื่อเปรียบเทียบกับรังไข่และกลีบดอกอบแห้ง นอกจากนี้ การสกัดด้วยเอทานอลผสมน้ำยังให้ปริมาณฟีนอลิกรวมสูงที่สุด โดยสารสกัดจากเกสรอบแห้งมีปริมาณฟีนอลิกรวมสูงสุด (209.70± 2.17 mg GAE/g DW)</p> 2024-08-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/255603 OPTIMIZING GROWTH CONDITIONS FOR WOLFFIA (Wolffia globosa) USING AN AB HYDROPONIC FERTILIZER CULTURING SYSTEM 2024-08-07T16:41:55+07:00 Wiwat Sangpakdee wiwat.sa@udru.ac.th Wiwat Kaensa wiwat.sa@udru.ac.th Panya Sasopa wiwat.sa@udru.ac.th Thaninatphasit Sangpakdee wiwat.sa@udru.ac.th <p>This research focuses on the optimization of growth conditions for Wolffia, the smallest flowering plant, utilizing an AB hydroponic fertilizer culturing system. The study addresses the increasing global demand for sustainable and nutritious food sources, positioning Wolffia as a promising solution due to its rapid growth and high protein content. The research methodology involves a systematic investigation into the effects of varying nutrient concentrations, light intensities, and pH levels within the AB hydroponic system. The results highlighted the significance of AB fertilizer concentrations, with 5 ml/l demonstrating superior growth rates and quality metrics. Surprisingly, lower light intensities (3,000-6,000 lux) yielded the highest growth rates and thallus size, challenging conventional expectations. pH levels exhibit a non-significant impact on growth, emphasizing the adaptability of Wolffia to a broader pH range. Controlled environmental conditions further validate the success of the optimized hydroponic system. Proximate analysis reveals Wolffia's nutritional richness, supporting its potential as a functional food source. This research contributes valuable insights to hydroponics and sustainable agriculture, positioning Wolffia as a resilient and resource-efficient food source. The findings have implications for global food security and potential applications in space agriculture<strong>.</strong></p> 2024-08-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/256361 การประยุกต์ใช้เทคนิค HYBRID AHP-TOPSIS สำหรับคัดเลือกการแปรรูป และพัฒนาผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ 2024-08-07T13:43:55+07:00 สมศักดิ์ ทองแก้ว pariwat@techno.rru.ac.th ปริวรรต นาสวาสดิ์ pariwat@techno.rru.ac.th กฤษณะ ช่องศรี pariwat@techno.rru.ac.th <p>กระบวนการตัดสินใจสำหรับคัดเลือกการแปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์เป็นปัญหาที่มีความซับซ้อนยากต่อการตัดสินใจเพราะว่ามีเกณฑ์หลายอย่างที่ต้องพิจารณาไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงได้นําเสนอเทคนิค Hybrid AHP-TOPSIS ในการประเมินและจัดลำดับความสำคัญ เริ่มจากกำหนดเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่ใช้ในการตัดสินใจแบ่งเกณฑ์ออกเป็นชั้นย่อย และกำหนดระดับความสำคัญของแต่ละเกณฑ์ ขั้นตอนต่อมาให้คะแนนในแต่ละเกณฑ์ตามระดับความสำคัญโดยใช้เทคนิค AHP ต่อจากนั้นใช้เทคนิค TOPSIS เพื่อจัดลำดับและเลือกทางเลือกที่มีประสิทธิภาพที่สุด โดยคำนวณค่าอุดมคติทางบวก (<em>Si*</em>) และค่าในอุดมคติทางลบ (<em>Si’</em>) รวมถึงค่าความใกล้ชิดสัมพัทธ์ (<em>Ci*</em>) กำหนดเกณฑ์ที่สำคัญตามความต้องการของผู้ประกอบการ 7 เกณฑ์ตัดสินใจ และวิธีการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ทั้งหมด 5 ทางเลือก ผลการคำนวณค่าความใกล้ชิดสัมพัทธ์ (<em>Ci*</em>) คือ ผลิตภัณฑ์ไม้ไผ่อัด (<em>A<sub>3</sub></em>) = 0.764 ตามด้วยผลิตภัณฑ์ไม้ตะเกียบ (<em>A<sub>1</sub></em>) = 0.502 ผลิตภัณฑ์ถ่านไม้ไผ่ (<em>A<sub>5</sub></em>) = 0.258 ผลิตภัณฑ์ไม้เสียบลูกชิ้น (<em>A<sub>2</sub></em>) = 0.167 และผลิตภัณฑ์ไม้จิ้มฟัน (<em>A<sub>4</sub></em>) = 0.154 ตามลำดับ ดังนั้นวิธีที่นําเสนอในงานวิจัยนี้สามารถเป็นแนวทางในคัดเลือกการแปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้</p> 2024-08-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี