https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/issue/feed วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2023-12-13T10:04:11+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิยวดี ยาบุษดี [email protected] Open Journal Systems <p><strong>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี </strong><br /><strong>Udon Thani Rajabhat University Journal of Science and Technology </strong><br /><br /> มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการของคณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการและนักศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวารสารรับการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ ในกลุ่มวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา และคณิตศาสตร์ กลุ่มวิทยาศาสตร์ประยุกต์ สาขาวิทยาศาสตร์ สุขภาพ วิทยาศาสตร์การกีฬา วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม วัสดุศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพ กลุ่มเกษตรศาสตร์ สาขาพืชศาสตร์ เศรษฐศาสตร์เกษตร ประมง และสัตวศาสตร์ และกลุ่มวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเครื่องกล, พลังงาน อิเล็กทรอนิกส์ ไฟฟ้า และคอมพิวเตอร์</p> <p><strong>กำหนดจัดพิมพ์ออกเผยแพร่ ปีละ 3 ฉบับ (ราน 4 เดือน)</strong><br /> ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน) <br /> ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม – สิงหาคม) <br /> ฉบับที่ 3 (กันยายน – ธันวาคม)</p> https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/252350 การพัฒนาระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อยกระดับธุรกิจและเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย สำหรับธุรกิจ SMEs ในจังหวัดเลย : กรณีศึกษา ห้าง ส.ทวีภัณฑ์สโตร์ จังหวัดเลย 2023-07-11T14:42:47+07:00 ชรินทร์ญา หวังวัชรกุล [email protected] พิมพ์พิชชา ประภาวิรัลพัชร์ [email protected] ดานุกา นามวงค์ษา [email protected] <p> การพัฒนาระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อยกระดับธุรกิจและเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย สำหรับธุรกิจ SMEs ในจังหวัดเลย : กรณีศึกษา ห้าง ส.ทวีภัณฑ์สโตร์ จังหวัดเลย มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อออกแบบและพัฒนาระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สำหรับธุรกิจ SMEs ในจังหวัดเลย 2) เพื่อทดสอบประสิทธิภาพและประเมินผลความพึงพอใจต่อระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยประกอบด้วย 1) ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 2) แบบประเมินประสิทธิภาพระบบโดยผู้เชี่ยวชาญ และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการพัฒนาระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ 5 คน พบว่าโดยรวมคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.90 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.20 และผลการศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง พบว่ามีระดับความพึงพอใจมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.74 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.18</p> 2023-11-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/253745 การประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการบริโภคปลาที่มีการปนเปื้อนโลหะหนัก ใกล้แหล่งฝังกลบมูลฝอยเทศบาล 2023-10-20T14:26:05+07:00 สมศักดิ์ อินทมาต [email protected] ดาวประกาย หญ้างาม [email protected] วริศรา รักษาภักดี [email protected] ลำใย ณีรัตนพันธ์ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการบริโภคปลาที่ปนเปื้อนโลหะหนัก (สารหนู แคดเมียม โครเมียม ตะกั่ว นิกเกิล แมงกานีส สังกะสีและทองแดง) บริเวณรอบแหล่งฝังกลบมูลฝอยเทศบาล อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม และศึกษาปริมาณการปนเปื้อนของโลหะหนักในน้ำ และตัวอย่างปลา 5 ชนิด 30 ตัวอย่าง ได้แก่ ปลาช่อน ปลาซิว ปลากระสูบจุด ปลากด ปลากระดี่และปลาหมอ วิเคราะห์ปริมาณโลหะหนักในเนื้อปลาด้วยเครื่อง Inductively coupled plasma optical emission spectrometry (ICP-OES) ผลการศึกษาพบว่าปริมาณโลหะหนักทุกชนิดที่ปนเปื้อนในตัวอย่างน้ำมีค่าไม่เกินมาตรฐานยกเว้น สังกะสี และสารหนู ปริมาณโลหะหนักทุกชนิดที่ปนเปื้อนในปลาทุกชนิดค่าไม่เกินมาตรฐาน ยกเว้นโครเมียม ค่าประมาณการได้รับสัมผัสโลหะหนักสูงสุด (EDI) จากการบริโภคปลาได้แก่ สังกะสี&gt;แมงกานีส&gt;โครเมียม ซึ่งพบได้ในปลาทุกชนิด ค่าประมาณการได้รับสัมผัสโลหะหนักจากการบริโภคปลาทุกชนิดมีค่าไม่เกินปริมาณสูงสุดที่แนะนำให้บริโภคได้ต่อวัน การประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการบริโภคปลาที่มีการปนเปื้อนโลหะหนักพบว่า โลหะหนักทุกชนิดค่า human risk index (HRI) ไม่เกิน 1 ในปลาทุกชนิด</p> 2023-12-04T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/253092 การจัดชั้นคุณภาพและช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวที่มีผลต่อลักษณะทางกายภาพ และคุณภาพผลพุทราพันธุ์นมสด 2023-11-17T09:41:32+07:00 ธนดล ธาตุโลหะ [email protected] สมยศ มีทา [email protected] ศุภัชญา นามพิลา [email protected] สุภัทร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา [email protected] <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการจัดชั้นคุณภาพ และช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวที่มีผลต่อลักษณะทางกายภาพและคุณภาพผลพุทราพันธุ์นมสดในพื้นที่อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ ในปี พ.ศ. 2561/2562 โดยทำการศึกษาในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตปี ดำเนินการในสวนพุทราของเกษตรกรในพื้นที่อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ วางแผนการทดลองแบบ completely randomized block design (RCBD) โดยการจัดชั้นคุณภาพผลดำเนินการสุ่มผลในเดือนธันวาคม 2561 แบ่งออกเป็น 4 ชั้นคุณภาพ ได้แก่ ขนาดใหญ่พิเศษ (Jumbo), ขนาดใหญ่ (A), ขนาดกลาง (B) และขนาดเล็ก (C) และศึกษาผลของช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวในชั้นคุณภาพผล A, B และ C ใน 3 ช่วงเวลา คือ เดือนธันวาคม 2561, มกราคม 2562 และกุมภาพันธ์ 2562 ผลการศึกษา พบว่าพุทรามีผลชั้นคุณภาพ Jumbo น้อยที่สุด (3.28%) แต่มีผลชั้นคุณภาพ C มากที่สุด (47.13%) ซึ่งการเปรียบเทียบลักษณะทางกายภาพพบว่า ผลชั้นคุณภาพ Jumbo มีน้ำหนักผล เนื้อผล และเมล็ด มากกว่าผลชั้นอื่นๆ แต่ไม่พบความแตกต่างทางสถิติของเปอร์เซ็นต์ส่วนที่รับประทานได้ ส่วนผลชั้นคุณภาพ C มีปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ (total soluble solid, TSS) ต่ำที่สุด (P&lt;0.05) แต่ผลชั้นคุณภาพ Jumbo มีปริมาณกรดที่ไตเตรทได้ (titratable acid, TA) สูงที่สุด (P&lt;0.05) ทำให้ผลชั้นคุณภาพ Jumbo มีสัดส่วน TSS/TA ต่ำที่สุด (P&lt;0.01) ส่วนการศึกษาด้านช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวพบว่าในทุกชั้นคุณภาพพุทราที่มีการเก็บเกี่ยวในช่วงต้นฤดูกาล (เดือนธันวาคม) <br />มีคุณภาพผลดีกว่าช่วงเดือนอื่นๆ</p> 2023-12-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/254383 สมการไดโอแฟนไทน์ 1/a+1/b=(nq+1)/pq และ 1/a+1/b=(nq-1)/pq 2023-10-20T14:06:27+07:00 สุธน ตาดี [email protected] <p>ในงานวิจัยนี้ได้ศึกษาและหาผลเฉลยทั้งหมดที่เป็นจำนวนเต็มบวกของสองสมการไดโอแฟนไทน์ <img title="\frac{1}{a}+\frac{1}{b}=\frac{nq+1}{pq}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\frac{1}{a}+\frac{1}{b}=\frac{nq+1}{pq}" /> และ <img title="\frac{1}{a}+\frac{1}{b}=\frac{nq-1}{pq}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\frac{1}{a}+\frac{1}{b}=\frac{nq-1}{pq}" /> เมื่อ <img title="a,b,n" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?a,b,n" /> เป็นจำนวนเต็มบวก และ <img title="p,q" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?p,q" /> เป็นจำนวนเฉพาะ โดยที่ <img title="p&gt;nq" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?p&gt;nq" /></p> 2023-12-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/253796 การเจริญเติบโตของยอดเปราะภูอ่างขาง (CAULOKAEMPFERIA APPENDICULATA K.LARSEN & TRIBOUN) พืชเฉพาะถิ่นของไทยในสภาพปลอดเชื้อ 2023-11-17T10:47:28+07:00 บัณฑิตา เพ็ญสุริยะ [email protected] น้ำฝน ชาชัย [email protected] มนัสชนก เกตกลางดอน [email protected] พงศกร นิตย์มี [email protected] เรวัตร จินดาเจี่ย [email protected] สุรสิทธิ์ วงษ์สัจจานันท์ [email protected] จรรยา มุ่งงาม [email protected] เตชิตา ปิ่นสันเทียะ [email protected] ปราโมทย์ ไตรบุญ [email protected] จักรกฤษณ์ ศรีแสง [email protected] <p>เปราะภูอ่างขางเป็นพืชหายากและพืชถิ่นเดียวของไทย มีดอกที่สวยงาม เป็นหนึ่งในสมาชิกของพืชสกุลเปราะภูที่มีความหลากหลายมากกว่า 30 ชนิด การขยายพันธุ์พืชสกุลเปราะภูในสภาพธรรมชาติส่วนมากจะขยายพันธุ์ด้วยการแตกหน่อ และกระจายพันธุ์ด้วยเมล็ด การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถเพิ่มปริมาณต้นพันธุ์พืชเพื่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้อย่างรวดเร็ว การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเจริญเติบโตและการขยายพันธุ์เปราะภูอ่างขางในสภาพปลอดเชื้อ โดยดำเนินการฟอกฆ่าเชื้อเมล็ดเปราะภูอ่างขางในสารละลายโซเดียมไฮโปคลอไรท์ที่ความเข้มข้น 5 และ 10 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ เพาะเมล็ดบนอาหารสังเคราะห์สูตร Murashige and Skoog (MS) ดัดแปลง ศึกษาการเจริญเติบโตของยอดเปราะภูอ่างขางที่เพาะเลี้ยงบนอาหารสูตร MS ที่เติม Benzyladenine (BA) ความเข้มข้น 0, 0.5, 1.0, 1.5 และ 2.0 มก./ล. เป็นเวลา 6 สัปดาห์ ผลการศึกษา พบว่า อาหารสูตร MS ที่เติม BA ความเข้มข้น 1.5-2.0 มก./ล. ชักนำยอดเปราะภูอ่างขางได้สูงสุด 5.05-6.00 ยอด/ต้น ความยาวรากและจำนวนรากมีแนวโน้มลดลงเมื่อเพาะเลี้ยงบนอาหารสูตร MS ที่เติม BA ความเข้มข้นสูงขึ้น โดยจากการทดลองนี้ พบว่า การขยายพันธุ์เปราะภูอ่างขางในสภาพปลอดเชื้อสามารถเพาะเลี้ยงบนอาหารสูตร MS ที่เติม BA 1.5-2.0 มก./ล. </p> 2023-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/254676 การวิเคราะห์โครมาโทกราฟีแบบแก๊ส-แมสสเปกโทรเมทรีและองค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันไพลที่สกัดด้วยวิธีการใช้คลื่นอัลตราโซนิกส์ 2023-11-17T11:21:07+07:00 เอกชัย จงเสรีเจริญ [email protected] ชิษณุพงษ์ อนุกานนท์ [email protected] โยธิน กัลยาเลิศ [email protected] วิชัย กองศรี [email protected] <p>ไพลเป็นพืชสมุนไพรที่ได้รับการบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ไพลมีฤทธิ์ในด้านการลดการอักเสบและลดอาการปวด เป็นสมุนไพรที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก งานวิจัยนี้ทำการสกัดน้ำมันไพลด้วยวิธีการใช้คลื่นอัลตร้าโซนิกส์ช่วย ตัวแปรต่างๆ ที่ถูกปรับในการเตรียมน้ำมันไพลได้แก่ อุณหภูมิ ความถี่และเวลาในการสะกัด วิธีวิเคราะห์ด้วยเทคนิค<br />โครมาโทกราฟีแบบแก๊ส-แมสสเปกโทรเมทรี (GC-MS) ถูกใช้ในการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันไพล พบองค์ประกอบทางเคมีที่สำคัญของน้ำมันหอมระเหยไพลตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ได้แก่ α-Pinene, Sabinene, α-Terpinene, γ-Terpinene และ Terpinen-4-ol การศึกษาผลความถี่ในการสกัด (28 และ 40 kHz) พบว่าปริมาณสารเคมีที่สกัดมีแนวโน้มไม่เปลี่ยนแปลง ผลของอุณหภูมิพบที่อุณหภูมิห้องว่ามีแนวโน้มได้ส่วนประกอบน้ำมันหอมระเหยของไพลในปริมาณที่สูงกว่า แต่พบว่า α-terpinene หายไป ส่วนผลของเวลาในการสกัดพบว่าใช้เวลาเพียง 10 นาทีก็เพียงพอที่จะได้ส่วนประกอบที่จำเป็น จากการทดลองพบว่าสภาวะการสกัดที่ดีที่สุดอยู่ที่ 40 kHz โดยไม่ให้ความร้อนเป็นเวลา 30 นาที ได้รับส่วนประกอบที่จำเป็นสูงสุด อย่างไรก็ตาม ไม่พบสาร α-terpinene </p> 2023-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/254462 คุณภาพทางกายภาพ ทางเคมี และทางจุลชีววิทยาของน้ำส้มพาสเจอไรซ์ เสริมเกสรผึ้งในระหว่างการเก็บรักษา 2023-10-20T14:29:14+07:00 ธีราพร ปฏิเวธวิทูร [email protected] <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพทางกายภาพ ทางเคมี และทางจุลชีววิทยาของน้ำส้มเขียวหวานพันธุ์สายน้ำผึ้งพาสเจอไรซ์เสริมเกสรผึ้งร้อยละ 4 ในระหว่างการเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 21 วัน หลังจากพาสเจอไรซ์ที่อุณหภูมิ 88 องศาเซลเซียส นาน 15 วินาที ทำการวิเคราะห์คุณภาพทางกายภาพ ทางเคมี และทางจุลชีววิทยา ในวันที่ 1, 7, 14 และ 21 ของการเก็บรักษา พบว่าความเป็นกรด-ด่างลดลงหลังจากวันที่ 1 โดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) กับการเก็บรักษาในวันที่ 14 และ 21 ปริมาณกรดและปริมาณของแข็งที่ละลายทั้งหมดเพิ่มขึ้นหลังจากวันที่ 1 โดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) กับการเก็บรักษาในวันที่ 7, 14 และ 21 ความหนืดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) ในระหว่างการเก็บรักษา ค่าสี L* ลดลงหลังจากวันที่ 1 โดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) กับการเก็บรักษาในวันที่ 7, 14 และ 21 ในขณะที่ค่าสี a* และ b* มีค่าเฉลี่ยสูงขึ้นในระหว่างการเก็บรักษา สารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดลดลงหลังจากวันที่ 1 โดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) กับการเก็บรักษาในวันที่ 7, 14 และ 21 (87.39-103.64 mg eq GA) ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) ในระหว่างการเก็บรักษา (377.73-443.84 mmoles TE) และคุณภาพทางจุลชีววิทยาตลอดระยะเวลาการเก็บรักษาเป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 293) พ.ศ. 2548 เรื่อง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คือ ไม่พบ <em>Staphylococcus</em><em> </em><em>aureus</em> ต่ออาหาร 0.1 มิลลิลิตร ไม่พบ <em>Clostridium</em> spp. ต่ออาหาร 0.1 มิลลิลิตร ไม่พบ <em>Salmonella</em> spp. ต่ออาหาร 25 มิลลิลิตร และ <em>E</em>. <em>coli</em><em> </em>น้อยกว่า 3 ต่ออาหาร 1 มิลลิลิตร โดยวิธี MPN</p> 2023-12-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/254740 การพัฒนาข้าวหมากจากข้าวไรซ์เบอรี่ และการศึกษาคุณสมบัติของยีสต์ข้าวหมากต่อการต้านทานแบคทีเรีย ESCHERICHIA COLI 2023-12-06T14:57:03+07:00 พิชญ์ ตั้งสมบัติวิจิตร [email protected] พรพรรณ รัตนะสัจจะ [email protected] จารุณี สนองคุณ [email protected] อาคม หะยีอูมา [email protected] มานพ สังข์แก้ว [email protected] <p>ข้าวหมากเป็นอาหารหมักด้วยจุลินทรีย์จากภูมิปัญญาไทย อย่างไรก็ตามข้าวหมากแม้จะมีงานวิจัยมากมายที่ระบุถึงประโยชน์ต่อผู้บริโภค แต่ข้าวหมากก็ยังไม่เป็นที่นิยมในการบริโภคมากนัก ดังนั้นงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาข้าวหมากจากข้าวไรซ์เบอรี่ โดยกำหนดสูตรข้าวหมาก 3 สูตร คือ ข้าวหมากข้าวเหนียวขาว ข้าวหมากข้าวไรซ์เบอรี่ผสมข้าวหมากข้าวเหนียวขาว อัตราส่วน 50:50 และ ข้าวหมากข้าวไรซ์เบอรี่ ผลการทดลองพบว่า ข้าวหมากข้าวไรซ์เบอรี่ที่หมัก 3 วัน มีความหวานเฉลี่ยน้อยที่สุด เท่ากับ 16.9±0.4% และ ปริมาณแอลกอฮอล์เฉลี่ยต่ำที่สุด เท่ากับ 0.58±0.03% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการทดลองคุณค่าทางอาหาร พบว่า ข้าวหมากข้าวไรซ์เบอรี่มีโปรตีนและใยอาหารสูงที่สุด เท่ากับ 6.33±0.09 และ 5.24±0.06 กรัมต่อ 100 กรัม ตามลำดับ เมื่อเทียบกับข้าวหมากอีก 2 สูตร รวมทั้งข้าวหมากข้าวไรซ์เบอรี่ มีปริมาณฟีนอลิกทั้งหมด เท่ากับ 71.10±0.25 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม มีสารต้านอนุมูลอิสระ เท่ากับ 194.60±3.10 ไมโครโมลต่อ 100 กรัม และมีความสามารถยับยั้งอนุมูลอิสระดีที่สุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เท่ากับ 87.56% ในขณะที่ข้าวหมากทั้ง 3 สูตรสามารถตรวจพบยีสต์ที่มีประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรีย <em>Escherichia</em><em> </em><em>coli</em><em> </em>ผลการทดลองพบว่า ยีสต์ไอโซเลทจากข้าวหมากข้าวเหนียวขาว (W15) และยีสต์ไอโซเลทจากข้าวหมากข้าวไรซ์เบอรี่ (B1) มีเส้นผ่านศูนย์กลางวงใส เท่ากับ 11.67±0.11 และ 9.80±0.20 มิลลิเมตร ตามลำดับ เมื่อระบุบ่งชี้สายพันธุ์ยีสต์ในข้าวหมากระดับพันธุกรรมของยีสต์ด้วยวิธีการ sequencing บริเวณตำแหน่งจำเพาะ 2 บริเวณ คือ Internal transcribed spacer (ITS region) และบริเวณ 26S rRNA พบว่า ยีสต์ไอโซเลท W15 และ B1 คือ <em>Saccharomycopsis</em><em> </em><em>fibuligera</em> เช่นเดียวกัน </p> 2023-12-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/252810 ความชุกและปัจจัยของการติดพยาธิในเลือดในโคนมพื้นที่สหกรณ์โคนวาริชภูมิ จำกัด 2023-12-13T10:04:11+07:00 ธีระกุล นิลนนท์ [email protected] ปราณปรียา ทอดทอง [email protected] <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยของการติดพยาธิในเลือด รวมถึงตรวจประเมินค่าเม็ดเลือดแดงอัดแน่นในโคนม ออกแบบการศึกษาด้วยวิธีการศึกษาแบบภาคตัดขวาง (cross sectional study) สุ่มเก็บตัวอย่างเลือดโคนม จำนวน 275 ตัว จากทั้งหมด 55 ฟาร์ม ในพื้นที่สหกรณ์โคนมวาริชภูมิ จำกัด อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ระหว่างเดือนกันยายน พ.ศ. 2563 ถึง เดือนมีนาคม พ.ศ. 2564 ตรวจหาการติดพยาธิในเลือดด้วยวิธีทำฟิล์มเลือดบาง (Thin blood smear) ย้อมสีด้วย Giemsa-stained หาค่าเม็ดเลือดแดงอัดแน่น (packed cell volume; PCV) ด้วยวิธี Hematocrit centrifugation technique ผลการศึกษา พบโคติดพยาธิในเม็ดเลือดจำนวน 107 ตัว (38.90%) แบ่งเป็น <em>Anaplasma</em><em> </em><em>spp</em> 75 ตัว คิดเป็น (79.09%) จำแนกเป็น <em>A.</em><em> </em><em>marginale</em> 40 ตัว คิดเป็น (53.33%), <em><br /></em><em>A.</em><em> </em><em>centrale</em> 35 ตัว (46.67%) <em>Babesia</em><em> </em><em>spp</em> 32 ตัว (29.90%) ได้แก่ <em>B.</em><em> </em><em>bigemina</em> และพบการติดพยาธิมากกว่า 1 ชนิด จำนวน 12 ตัว คิดเป็น (11.21%) โดยไม่พบการติดพยาธิชนิด <em>Trypanosome</em><em> </em><em>spp</em><em> </em><em>,</em><em> </em><em>Theileria</em><em> </em><em>spp.</em><em> </em>โคที่ติดพยาธิในเลือดจำนวน 107 ตัว พบค่า PCV อยู่ในช่วง 16% - 35% และมีค่าเฉลี่ยของ PCV เท่ากับ 27.07% โดยโคกลุ่มติดเชื้อที่มีค่า PCV ต่ำกว่าค่าปกติ จำนวน 13 ตัว (12.15%) ฟาร์มที่เคยมีประวัติติดโรคพยาธิในเลือดมีความเสี่ยงติดพยาธิในเลือดซ้ำ 5.02 เท่า (OR = 5.02) เมื่อเทียบกับฟาร์มที่ไม่เคยมีประวัติการติดพยาธิในเลือด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P &lt; 0.05) การศึกษาครั้งนี้บ่งชี้ว่า สถานการณ์การติดพยาธิในเลือดในโคนม ระหว่างเดือนกันยายน พ.ศ. 2563 ถึง เดือนมีนาคม พ.ศ. 2564 มีความชุกระดับปานกลางและก่อให้เกิดภาวะโลหิตจางในปานกลาง </p> 2023-12-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/scudru/article/view/254746 การใช้สารปรับปรุงดินจากโรงบำบัดขยะทางกลและชีวภาพของเทศบาลนครอุดรธานีในการปลูกดาวเรือง 2023-11-17T17:59:06+07:00 อรรจนา ด้วงแพง [email protected] ดรุณี พวงบุตร [email protected] โฉมยง ไชยอุบล [email protected] เยาวพล ชุมพล [email protected] วชิราวุธ พิศยะไตร [email protected] <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการหมักสารปรับปรุงดินด้วยจุลินทรีย์ EM และระดับการใส่สารปรับปรุงดินต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของดาวเรืองพันธุ์ลูกผสมเทวี วางแผนการทดลองแบบ Factorial in Randomized Complete Block Design (RCBD) จำนวน 3 ซ้ำ ทำการทดลองในสภาพกระถาง และกำหนดให้ปัจจัย A คือ การหมักสารปรับปรุงดินด้วยจุลินทรีย์ EM มี 2 ระดับ : 1) การหมักสารปรับปรุงดินด้วยจุลินทรีย์ EM และ 2) การไม่หมักสารปรับปรุงดิน ปัจจัย B คือ อัตราการใส่สารปรับปรุงดินในดินผสม มี 2 ระดับ : 1) อัตราการใส่สารปรับปรุงดิน 200 ก. ต่อดินผสม 5 กก. และ 2) อัตราการใส่สารปรับปรุงดิน 400 ก.ต่อ ดินผสม 5 กก. และทรีตเมนต์ควบคุม คือ ดินผสม 5 กก. จากการศึกษาพบว่าสารปรับปรุงดินจากโรงบำบัดขยะทางกลและชีวภาพของเทศบาลนครอุดรธานีมีลักษณะคล้ายคลึงกับปุ๋ยอินทรีย์ มีปริมาณอินทรียวัตถุค่อนข้างสูง มีปริมาณธาตุอาหารหลักเป็นไปตามมาตรฐานปุ๋ยอินทรีย์ของกรมพัฒนาที่ดิน สารปรับปรุงดินจากโรงบำบัดขยะทางกลและชีวภาพของเทศบาลนครอุดรธานีสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการปลูกดาวเรืองได้ ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของต้นดาวเรืองในทุกลักษณะทำให้ต้นสูงขึ้น ทรงพุ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น มีจำนวนกิ่งแขนงเพิ่มขึ้น และเพิ่มผลผลิตให้กับดาวเรือง ทำให้จำนวนดอกต่อต้นมากขึ้น ดอกขนาดใหญ่ขึ้น น้ำหนักสดและน้ำหนักแห้งเฉลี่ยต่อดอกสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับทรีตเมนท์ควบคุม การนำสารปรับปรุงดินมาใช้ประโยชน์ในการปลูกดาวเรืองนั้นไม่จำเป็นต้องหมัก สามารถนำไปใส่ได้เลย อัตราการใส่สารปรับปรุงดินที่เหมาะสม คือ อัตรา 200 ก. ต่อดินผสม 5 กก. หรือประมาณ 2,000 กก.ต่อไร่ เป็นระดับที่เพียงพอต่อการส่งเสริมการเจริญเติบโตและเพิ่มผลผลิตให้กับดาวเรือง</p> 2023-12-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี