วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal <p><strong>วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (The Journal of King Mongkut's University of Technology North Bangkok)</strong> เป็นวารสารที่เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ อุตสาหกรรมเกษตร เทคโนโลยีสารสนเทศ สถาปัตยกรรม และวิชาการขั้นสูงที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและอุตสาหกรรม ผลงานวิชาการที่รับตีพิมพ์เป็นบทความวิจัย บทความวิชาการ และบทความบรรณาธิการปริทัศน์ที่เขียนด้วยภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ<br />วารสารพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ตีพิมพ์ทั้งรูปเล่มและออนไลน์ โดยกำหนดจัดทำปีละ 4 ฉบับ คือ</p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม–มีนาคม</li> <li>ฉบับที่ 2 เดือนเมษายน–มิถุนายน</li> <li>ฉบับที่ 3 เดือนกรกฎาคม–กันยายน</li> <li>ฉบับที่ 4 เดือนตุลาคม–ธันวาคม</li> </ul> <p>วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เป็นวารสารที่จัดอยู่ในฐานข้อมูลดังนี้</p> <ul> <li>เป็นวารสารที่อยู่ในฐานข้อมูล ASEAN Citation Index (ACI)</li> <li>เป็นวารสารที่อยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารไทย (TCI) กลุ่มที่ 1 ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี</li> <li>สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ยอมรับให้เป็นวารสารระดับชาติและเป็นวารสารสำหรับการพิจารณาผลงานตีพิมพ์ เรื่องที่ 2 ของนักศึกษาทุน คปก. ในหลักสูตรกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก่อนสำเร็จการศึกษาปริญญาเอก</li> </ul> <p><strong>สถิติการพิจารณา</strong></p> <p>จำนวนวันเฉลี่ยในการพิจารณาเบื้องต้น : 7-10 วัน</p> <p>จำนวนวันเฉลี่ยในการรับพิจารณา-ตอบรับตีพิมพ์: 60-90 วัน</p> <p>อัตราการยอมรับตีพิมพ์ในปี 2566 : 48%</p> The Journal of King Mongkut's University of Technology North Bangkok th-TH วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 2985-2080 <p>บทความที่ลงตีพิมพ์เป็นข้อคิดเห็นของผู้เขียนเท่านั้น<br />ผู้เขียนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อผลทางกฎหมายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากบทความนั้น</p> การพัฒนารูปแบบการบริหารการอนุรักษ์พลังงานในอาคารธุรกิจอุตสาหกรรม https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258520 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการบริหารการอนุรักษ์พลังงานในอาคารธุรกิจอุตสาหกรรม เพื่อสร้างรูปแบบการบริหารการอนุรักษ์พลังงานในอาคารธุรกิจอุตสาหกรรม และจัดทำคู่มือการบริหารการอนุรักษ์พลังงานในอาคารธุรกิจอุตสาหกรรม การวิจัยในครั้งนี้ใช้เทคนิคเดลฟายโดยใช้กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 22 คน และการสนทนากลุ่มประชาพิเคราะห์เพื่อพิจารณารูปแบบและเนื้อหาในคู่มือโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 14 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม สถิติวิเคราะห์ที่ใช้ประกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่ามัธยฐาน (Median) และค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ (IQR) ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการบริหารการอนุรักษ์พลังงานในอาคารธุรกิจอุตสาหกรรม ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก และ 23 องค์ประกอบย่อย โดยองค์ประกอบหลัก 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการวางแผน ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบย่อย 2) ด้านการจัดองค์กร ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบย่อย 3) ด้านการนำ ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบย่อย และ 4) ด้านการควบคุม ประกอบด้วย 6 ประกอบย่อย ผลการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นว่ารูปแบบที่สร้างขึ้นมีความเหมาะสม มีประโยชน์ในการนำไปประยุกต์ใช้ในอาคารประเภทอื่น ๆ และคู่มือมีความเหมาะสม สามารถนำไปใช้ในการบริหารการอนุรักษ์พลังงานในอาคารธุรกิจอุตสาหกรรม และอาคารประเภทอื่น ๆ ได้</p> โกมล บัวเกตุ สมนึก วิสุทธิแพทย์ ธีรวุฒิ บุณยโสภณ ชาญชัย ทองประสิทธิ์ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-26 2024-09-26 34 4 ID. 244 225595 รูปแบบการพัฒนาศักยภาพของวิศวกรฝ่ายขายสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258526 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบด้านศักยภาพในการปฏิบัติงานของวิศวกรฝ่ายขายสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ 2) พัฒนารูปแบบด้านศักยภาพในการปฏิบัติงานของวิศวกรฝ่ายขายสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และ 3) เพื่อจัดทำคู่มือแนวทางการพัฒนาศักยภาพของวิศวกรฝ่ายขายสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญในด้านสัมภาษย์เชิงลึก จำนวน 11 ท่าน และกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 400 ราย ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการพัฒนาศักยภาพของวิศวกรฝ่ายขายสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่จากการวิเคราะห์องค์ประกอบหลักด้านการปฏิบัติงานของวิศวกรฝ่ายขายสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ 3 องค์ประกอบได้แก่ 1) องค์ประกอบด้านความรู้ มี 3 องค์ประกอบย่อย 2) องค์ประกอบด้านทักษะ มี 3 องค์ประกอบย่อย และ 3) องค์ประกอบด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ มี 3 องค์ประกอบย่อย โดยองค์ประกอบการพัฒนาศักยภาพวิศวกรฝ่ายขายสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ด้านความรู้ ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ 1) ความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์การตลาด 2) ความรู้เกี่ยวกับงานด้านการขาย และ 3) ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิตและการนำเสนอ สำหรับด้านทักษะประกอบด้วย 3 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ 1) ความสามารถในการบริหารการขาย 2) ความสามารถในการบริหารการตลาด และ 3) ความสามารถในการจัดการข้อมูลและการสื่อสาร และสำหรับด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ 1) การให้บริการที่มีประสิทธิภาพ 2) ทัศนคติเชิงบวกกับงานในหน้าที่ และ 3) ความมุ่งมั่นและพัฒนาตนเอง และผลการประเมินรูปแบบและคู่มือแนวทางการพัฒนาศักยภาพของวิศวกรฝ่ายขายสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ที่พัฒนาขึ้น มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับเนื้อหา และสามารถนำไปใช้จริงโดยได้รับการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิคิดเป็นร้อยละ 100</p> จักรพันธ์ อภินันท์ธรรม ธีรวุฒิ บุณยโสภณ สมนึก วิสุทธิแพทย์ ปรีดา อัตวินิจตระการ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-27 2024-09-27 34 4 ID. 244 235594 การบริหารจัดการน้ำเสียและแนวทางการเลือกระบบบำบัดน้ำเสียที่เหมาะสมกับชุมชน https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258331 <p>งานวิจัยนี้นำเสนอแนวทางการบริหารจัดการน้ำเสียที่มีความเหมาะสมกับชุมชนที่มีพื้นที่แออัด โดยขอบเขตการศึกษาอยู่ในพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลจอหอฝั่งตะวันตก อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา มีพื้นที่ครอบคลุม 4 หมู่บ้าน และเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาในการจัดการระบบรวบรวมและระบบบำบัดน้ำเสีย ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมขังเวลาฝนตก งานวิจัยนี้ได้ศึกษาระบบรวบรวมและระบบบำบัดน้ำเสียให้เหมาะสมกับชุมชนตำบลจอหอฝั่งตะวันตก โดยมีขั้นตอนการทำงาน ประกอบด้วย 1) การสำรวจและจัดทำแบบแผนที่ระดับท่อและรางระบายน้ำ และ 2) การตรวจสอบปริมาณและวิเคราะห์คุณภาพน้ำเสียผลการศึกษาพบว่า ตำบลจอหอฝั่งตะวันตกควรมีท่อระบายน้ำหลักทั้งสองข้างถนนรัตนพิธาน โดยใช้ท่อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.00 เมตร เพื่อให้การระบายน้ำมีประสิทธิภาพและลดปัญหาการท่วมขังของน้ำผิวดิน นอกจากนี้ ควรสร้างพื้นที่รับน้ำเพื่อเป็นจุดหน่วงน้ำก่อนที่จะระบายเข้าสู่โครงข่ายระบายน้ำและส่งไปยังจุดรับน้ำตามคลองชลประทานและคลองธรรมชาติ ผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ำเสียทั้ง 4 หมู่บ้าน พบปริมาณสารปนเปื้อนในน้ำสูงมากกว่าเกณฑ์ของมาตรฐานน้ำผิวดิน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มาตรา 32 ระดับการปนเปื้อนจัดอยู่ในเกณฑ์ประเภทที่ 5 ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการฟื้นฟูคุณภาพของน้ำอย่างเร่งด่วน วิธีการจัดการบริหารน้ำเสียที่เหมาะสมกับพื้นที่วิจัยคือ การเลือกใช้ระบบบำบัดน้ำเสียแบบบ่อปรับเสถียร เพราะเป็นระบบที่มีค่าการก่อสร้างและค่าดูแลรักษาต่ำ รวมทั้งมีวิธีการเดินระบบไม่ยุ่งยากซับซ้อน</p> อภิสิทธิ์ เหล่าหมวด อาทิตย์ อุดมชัย จักรกฤษณ์ ยืนยงค์ สุขสันติ์ หอพิบูลสุข Menglim Hoy Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-16 2024-09-16 34 4 ID. 244 016425 การเปรียบเทียบตัวแบบการพยากรณ์ยอดขายของธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง กรณีศึกษา บริษัท ห้าแยก กรุ๊ป (2559) จำกัด https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258376 <p>บริษัทกรณีศึกษามีการจัดการสินค้าคงคลังแบบเมื่อสินค้าหมดจะสั่งหรือบางครั้งสั่งซื้อสินค้าแล้วไม่ได้ตรงตามที่สั่งไว้ แล้วไม่มีการบันทึกว่าสั่งอะไรไปบ้าง หลายครั้งจึงจำเป็นต้องรับสินค้าที่ได้สั่งไว้หรือไม่ได้สั่งไว้มาถือครอง จนทำให้สินค้าที่รับมานั้นกลายเป็นสินค้าคงคลังที่ขายไม่ได้ ดังนั้นงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการพยากรณ์ยอดขายของผลิตภัณฑ์กลุ่มที่มีปริมาณยอดขายจำนวนมาก คือ ปูนปอร์ตแลนด์ และการพยากรณ์ยอดขายของผลิตภัณฑ์กลุ่มที่มีปริมาณยอดขายน้อย คือ ชักโครก โดยทำการเก็บข้อมูลผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 ถึงเดือนกรกฎาคม 2565 รวมเป็นระยะเวลา 25 เดือน โดยใช้การพยากรณ์ทั้งหมด 4 วิธี ประกอบด้วย 1) วิธีการพยากรณ์แบบการเฉลี่ยเคลื่อนที่ 2) วิธีการปรับเรียบแบบเอกซ์โปเนนเชียลดับเบิลของบราวน์ 3) วิธีการปรับเรียบแบบเอกซ์โปเนนเชียลเส้นตรงของโฮลท์ และ 4) วิธีการปรับเรียบแบบเอกซ์โปเนนเชียลของวินเทอร์ เมื่อพิจารณาการใช้เกณฑ์การวัดค่าความแม่นยำด้วยค่าเฉลี่ยของค่าสัมบูรณ์ของเปอร์เซ็นต์ของความคลาดเคลื่อน และพิจารณาการใช้เกณฑ์ค่าเฉลี่ยความผิดพลาดสัมบูรณ์ ที่มีค่าน้อยที่สุด ผลการวิจัยนี้พบว่า ตัวแบบการพยากรณ์ที่เหมาะสมที่สุดของการพยากรณ์ยอดขายล่วงหน้าระยะ 3 เดือน และ 6 เดือน ของผลิตภัณฑ์ปูนปอร์ตแลนด์ คือ วิธีการปรับเรียบแบบเอกซ์โปเนนเชียลดับเบิลของบราวน์ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยของค่าสัมบูรณ์ของเปอร์เซ็นต์ของความคลาดเคลื่อนและค่าเฉลี่ยความผิดพลาดสัมบูรณ์ เท่ากับ 7.78% และ 1,818 ตามลำดับ สำหรับตัวแบบการพยากรณ์ที่เหมาะสมที่สุดของการพยากรณ์ยอดขายล่วงหน้าระยะ 6 เดือน ของผลิตภัณฑ์ชักโครก คือ วิธีการปรับเรียบแบบเอกซ์โปเนนเชียลของวินเทอร์ มีค่าเฉลี่ยของค่าสัมบูรณ์ของเปอร์เซ็นต์ของความคลาดเคลื่อนและค่าเฉลี่ยความผิดพลาดสัมบูรณ์ เท่ากับ 42.83% และ 2.833 ตามลำดับ บริษัทสามารถใช้เทคนิคตัวแบบการพยากรณ์เหล่านี้ในการวางแผนสินค้าล่วงหน้าให้สอดคล้องกับยอดขายจริงในช่วงเวลานั้น ๆ ได้</p> ศิวศิษฏ์ ปิจมิตร ปริดา จิ๋วปัญญา ธงชัย เบ็ญจลักษณ์ ภาคภูมิ ใจชมภู อนาวิล ทิพย์บุญราช ธรรมศักดิ์ ค่วยเทศ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-18 2024-09-18 34 4 ID. 244 026382 การผลิตแก๊สชีวภาพโดยระบบยูเอเอสบีจากน้ำเสียโรงงานแปรรูปสับปะรดร่วมกับการตรึงจุลินทรีย์จากตะกอนเลนบ่อกุ้ง https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258379 <p>น้ำเสียจากอุตสาหกรรมทางการเกษตรเป็นน้ำเสียที่มีสารอินทรีย์ปนเปื้อนจากกระบวนการผลิตเป็นจำนวนมากซึ่งเป็นปัญหาหลักของมลพิษทางสิ่งแวดล้อมหากมีการรั่วไหลสู่พื้นดินหรือแหล่งน้ำ งานวิจัยนี้จึงเสนอวิธีการลดปริมาณสารอินทรีย์และเปลี่ยนน้ำเสียเป็นพลังงานทดแทน ซึ่งได้ออกแบบและสร้างระบบการผลิตแก๊สชีวภาพจากน้ำเสียเป็นระบบยูเอเอสบี (Upflow Anaerobic Sludge Blanket; UASB) โดยทำการทดลองเพื่อหาสภาวะในการผลิตที่เหมาะสมที่สุดและนำมาผลิตแก๊สชีวภาพด้วยระบบยูเอเอสบีที่ได้ออกแบบและสร้างขึ้น จากผลการทดลองการผลิตแก๊สชีวภาพจากน้ำเสียของโรงงานแปรรูปสับปะรดพบว่า สภาวะที่เหมาะสมที่สุด คือ สภาวะที่มีการใช้วัสดุตรึงจุลินทรีย์ CAC (Cray/Activated Carbon) ร่วมกับการตรึงจุลินทรีย์ที่มาจากตะกอนเลนบ่อกุ้ง ซึ่งให้ปริมาณแก๊สชีวภาพที่ผลิตได้มากกว่าสภาวะที่ไม่มีการใช้วัสดุตรึงจุลินทรีย์ ถึง 2.6 เท่า โดยระบบการผลิตแก๊สชีวภาพที่เสนอนี้สามารถผลิตแก๊สชีวภาพและบำบัดน้ำเสียได้พร้อมกัน ซึ่งสามารถลดค่าซีโอดีในน้ำเสียได้ อีกทั้งยังมีศักยภาพในการผลิตแก๊สชีวภาพได้อย่างน่าพอใจ โดยแก๊สชีวภาพที่ผลิตได้มีองค์ประกอบของแก๊สมีเทนประมาณ 24.74% ผลที่ได้จากงานวิจัยแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการผลิตแก๊สชีวภาพด้วยระบบยูเอเอสบีจากน้ำเสียของโรงงานแปรรูปสับปะรด</p> ญาณิศา ละอองอุทัย วชิรา ดาวสุด Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-18 2024-09-18 34 4 ID. 244 036330 การพยากรณ์ความต้องการและนโยบายการเติมเต็มพัสดุคงคลังแบบพอดีกับความต้องการสำหรับชิ้นส่วนอะไหล่เครื่องจักรกลการเกษตร https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258448 <p>เครื่องจักรกลการเกษตรเป็นอุปกรณ์ที่สนับสนุนการทำงานของเกษตรกร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการทำงาน แต่เนื่องจากอุปกรณ์มีอายุการใช้งานที่จำกัดและอาจได้รับความชำรุดเสียหาย หรือสึกหรอจากการใช้งานได้ จึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนชิ้นส่วนอะไหล่เพื่อทดแทนความเสียหายอยู่เสมอ ดังนั้นผู้ให้บริการหลังการขายเครื่องจักรกลการเกษตรจึงต้องเตรียมพร้อมเพื่อตอบสนองต่อความต้องการชิ้นส่วนอะไหล่อยู่เสมอ เพื่อให้สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จากการวิเคราะห์ความต้องการชิ้นส่วนอะไหล่ของบริษัทกรณีศึกษาพบว่า รูปแบบความต้องการของชิ้นส่วนอะไหล่มีลักษณะไม่คงที่และไม่สามารถทราบล่วงหน้าได้ เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้ การเติมเต็มพัสดุคงคลังจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดการพัสดุคงคลังเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการอะไหล่ของลูกค้าได้ทันเวลา งานวิจัยนี้ได้ศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นในบริษัทกรณีศึกษา โดยได้ปรับปรุงวิธีการที่ใช้ในการพยากรณ์ความต้องการชิ้นส่วนอะไหล่ให้มีความแม่นยำขึ้นโดยใช้เทคนิคการพยากรณ์แบบอนุกรมเวลาที่เหมาะสมกับรูปแบบความต้องการชิ้นส่วนอะไหล่ จากนั้นกำหนดนโยบายการเติมเต็มพัสดุคงคลัง โดยได้กำหนดตัวชี้วัดประสิทธิภาพจากอัตราการตอบสนองต่อคำสั่งซื้อของลูกค้า และอัตราการขายสินค้าคงคลัง ผลการวิจัยพบว่า การนำเทคนิคการพยากรณ์แบบอนุกรมเวลาและการกำหนดนโยบายการเติมเต็มพัสดุคงคลังแบบพอดีกับความต้องการในแต่ละคาบที่มีรอบการตรวจสอบรายวัน มาใช้กับกลุ่มชิ้นส่วนที่มีรูปแบบความต้องการแบบมีฤดูกาลและแบบมีแนวโน้มโน้มพร้อมทั้งฤดูกาลสามารถเพิ่มอัตราการตอบสนองต่อคำสั่งซื้อของลูกค้าขึ้นได้โดยเฉลี่ยร้อยละ 18.85 และร้อยละ 23.23 ตามลำดับ</p> วรพล เดชาดำรงค์ชัย อมรศิริ วิลาสเดชานนท์ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-24 2024-09-24 34 4 ID. 244 046196 การพัฒนาอุปกรณ์เคลื่อนย้ายวัสดุในโรงงานผลิตสีแห่งหนึ่งตามหลักคาราคุริไคเซ็น https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258449 <p>จากการศึกษาสภาพปัจจุบันของโรงงานกรณีศึกษาซึ่งเป็นโรงงานผลิตสีพบว่า มีการเคลื่อนย้ายวัสดุที่สำคัญจำนวน 7 จุดในกระบวนการผลิตสี ซึ่งการเคลื่อนย้ายวัสดุจัดเป็นกิจกรรมที่ไม่เพิ่มมูลค่าแก่ผลิตภัณฑ์แต่จำเป็น งานวิจัยฉบับนี้ได้ออกแบบอุปกรณ์เคลื่อนย้ายวัสดุในแนวดิ่งโดยการใช้หลักการคาราคุริไคเซ็น (Karakuri Kaizen) และเสนอแนวคิดจุดที่ต้องระมัดระวังในการออกแบบดังกล่าว หลักการคาราคุริไคเซ็นเป็นการใช้กลไกพื้นฐานมาสร้างกลไกการเคลื่อนที่กึ่งอัตโนมัติอย่างง่าย และประหยัดพลังงาน ในงานวิจัยนี้ปัญหาที่สำคัญที่สุดจะถูกเลือกมา และถูกแก้ปัญหาด้วยการออกแบบอุปกรณ์ขนถ่ายวัสดุขึ้นมาโดยต้องรับวัสดุจากชั้น 2 ลงมายังชั้น 1 และกลับขึ้นไปรอรับวัสดุที่ชั้น 2 อีกครั้ง มีการออกแบบอุปกรณ์ขึ้นมา 2 แบบ เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย และต้นทุน จากนั้นสร้าง และทดสอบอุปกรณ์เคลื่อนย้าย สรุปว่ามีระยะทางในการเคลื่อนย้ายลดลง ร้อยละ 77.6 และใช้เวลาในการเคลื่อนย้ายลดลง ร้อยละ 89.47</p> พิชญ์วดี กิตติปัญญางาม พิชญา พวงพันธ์ พิศมัย ชัยสิทธิ์ วิษณ์ โอชิตพงศ์ กิตติวัฒน์ สิริเกษมสุข Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-24 2024-09-24 34 4 ID. 244 056145 การเพิ่มสมรรถนะของอาร์เรย์โมดูลเซลล์แสงอาทิตย์ภายใต้เงื่อนไขการบังเงาบางส่วนโดยใช้เทคนิคซูโดกุ 5×5 แบบกากบาทในจัดเรียงตำแหน่งโมดูล https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258450 <p>บทความนี้นำเสนอการเพิ่มสมรรถนะของอาร์เรย์โมดูลเซลล์แสงอาทิตย์ภายใต้เงื่อนไขการบังเงาบางส่วนลดผลกระทบจากการบังเงาบางส่วนโดยการกระจายรูปแบบการบังเงาด้วยการจัดเรียงตำแหน่งของโมดูลใหม่โดยคงตำแหน่งการเชื่อมต่อทางไฟฟ้าไว้ ซึ่งใช้เทคนิคซูโดกุ 5×5 แบบกากบาท จำนวน 5 รูปแบบ ได้แก่ SD1, SD2, SD3, SD4 และ SD5 เปรียบเทียบกับการจัดเรียงแบบ TCT มาตรฐาน ทำการศึกษาโดยใช้พารามิเตอร์ของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ ชนิดโพลีคริสตัลไลน์ พิกัด 10 วัตต์ (VP-SP-10Wp) เชื่อมต่อโมดูลแบบ TCT การบังเงา 5 รูปแบบ ได้แก่ SW, SN, LW, LN และแบบไม่มีการบังเงา โดยโมดูลที่ถูกบังเงาและไม่มีเงาบังกำหนดให้ได้รับความเข้มรังสีดวงอาทิตย์ 300 วัตต์/ม.2 และ 1,000 วัตต์/ม.2 ตามลำดับที่อุณหภูมิโมดูล 25 องศาเซลเซียส จำลองหาพารามิเตอร์สำหรับวิเคราะห์หาสมรรถนะของอาร์เรย์โมดูลเซลล์แสงอาทิตย์บนโปรแกรม MATLAB/Simulink จากผลการจำลองพบว่า การจัดเรียงด้วยเทคนิคที่นำเสนอสามารถเพิ่มสมรรถนะของอาร์เรย์โมดูลเมื่อเปรียบเทียบกับการจัดเรียงแบบ TCT Std. ในกรณีการบังเงาบางส่วนแบบ SW SN และ LW ได้ 22.9 4.29 และ 18.63 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ในกรณีการจัดเรียงแบบ SD5 สามารถเพิ่มสมรรถนะการบังเงาแบบ LW ได้ 21.81 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เทคนิคที่นำเสนอสามารถลดผลกระทบจากการบังเงาบางส่วนได้ ผลจากการวิจัยนี้สามารถนำรูปแบบการจัดเรียงที่นำเสนอไปใช้ในติดตั้งอาร์เรย์เซลล์แสงอาทิตย์เพื่อช่วยลดผลกระทบจากการบังเงาบางส่วนได้อย่างมีประสิทธิผล</p> ธนากร น้ำหอมจันทร์ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-24 2024-09-24 34 4 ID. 244 066197 การศึกษาการเตรียมและสมบัติของวัสดุคอมโพสิตเทอร์โมพลาสติกสตาร์ชจากแป้งดัดแปรที่มีเส้นใยใบสับปะรดเป็นวัสดุเสริมแรง https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258451 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเตรียมและสมบัติของวัสดุคอมโพสิตเทอร์โมพลาสติกสตาร์ชจากแป้งดัดแปร (Thermoplastic Modified Starch; TPMS) ที่มีเส้นใยใบสับปะรด (Pineapple Leaf Fiber; PALF) เป็นวัสดุเสริมแรงที่ 0, 2, 4, 6 และ 8 phr ตามลำดับ ด้วยเครื่องผสมแบบปิด (Internal Mixer) จากนั้นขึ้นรูปชิ้นงานทดสอบด้วยเครื่องกดอัดแบบร้อน (Compression Molding Machine) โดยศึกษาผลของปริมาณการเติมเส้นใยใบสับปะรดที่ส่งผลต่อสมบัติเชิงกล ดัชนีการไหล และสมบัติทางสัณฐานวิทยา พบว่า คอมโพสิตเทอร์โมพลาสติกสตาร์ชจากแป้งดัดแปรมีค่าความต้านทานแรงดึงสูงสุด และค่ายังส์มอดูลัสเพิ่มขึ้นเมื่อเพิ่มปริมาณเส้นใยใบสับปะรด อย่างไรก็ตาม ค่าร้อยละการรยืด ณ จุดขาด และค่าความต้านทานต่อการกระแทกมีค่าลดลง เมื่อพิจารณาที่ค่าดัชนีการไหล พบว่าคอมโพสิตเทอร์โมพลาสติกสตาร์ชจากแป้งดัดแปรมีค่าดัชนีการไหลต่ำกว่าเทอร์โมพลาสติกสตาร์ชจากแป้งดัดแปรที่ไม่เติมเส้นใยใบสับปะรด นอกจากนั้น คอมโพสิตเทอร์โมพลาสติกสตาร์ชจากแป้งดัดแปรจะมีค่าดัชนีการไหลลดลงเมื่อเพิ่มปริมาณเส้นใยใบสับปะรด จากการตรวจสอบลักษณะทางสัณฐานวิทยาของคอมโพสิตเทอร์โมพลาสติกสตาร์ชจากแป้งดัดแปรด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (SEM) พบว่า เส้นใยใบสับปะรดสามารถยึดติดกับเทอร์โมพลาสติกสตาร์ชจากแป้งดัดแปรได้ดีจึงส่งผลให้มีค่าความต้านทานแรงดึงสูงสุด และค่ายังส์มอดูลัสเพิ่มขึ้น</p> รัตนาภรณ์ พรหมจริยากุล ธีรพล พงษ์ทฤกษ์ มุนา เนียมตะเดียน นฤทธิ์ ชุ่มชอบ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-24 2024-09-24 34 4 ID. 244 076491 การศึกษาปริมาณความต้องการเดินทางทางน้ำในอนาคต กรณีเส้นทางเดินเรือโดยสารแม่น้ำเจ้าพระยา https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258452 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปริมาณความต้องการเดินทางทางน้ำตามเส้นทางเดินเรือโดยสารประจำทางแม่น้ำเจ้าพระยาในอนาคต เนื่องจากมีการพัฒนาความสามารถในการเชื่อมต่อการเดินทางบริเวณท่าเรือโดยสารแม่น้ำเจ้าพระยากับระบบขนส่งทางรางหรือโครงการรถไฟฟ้าในอนาคต ในการศึกษาครั้งนี้จะทบทวนข้อมูลรูปแบบการเดินทางอื่น ๆ ที่สามารถเชื่อมต่อการเดินทางทางน้ำตามเส้นทางเดินเรือโดยสารประจำทางแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งในปัจจุบันและแผนพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในอนาคต เพื่อใช้ในการวิเคราะห์และคาดการณ์ปริมาณความต้องการเดินทางทางน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาตามเส้นทางเดินเรือโดยสารประจำทาง ซึ่งจะใช้หลักการการเดินทาง 4 ขั้นตอน (4-Step Model) จากโปรแกรมด้านแบบจำลองการเดินทาง หรือแบบจำลอง Extended Bangkok Urban Model; eBUM เพื่อวิเคราะห์หาปริมาณความต้องการเดินทางในอนาคตของการศึกษาครั้งนี้ ซึ่งในปัจจุบันท่าเรือโดยสารแม่น้ำเจ้าพระยามีระบบขนส่งสาธารณะหลากหลายรูปแบบเพื่อเชื่อมต่อการเดินทาง เช่น รถไฟฟ้า รถโดยสารสาธารณะประจำทาง รถแท็กซี่ รถจักรยานยนต์รับจ้าง รถตุ๊กตุ๊ก เรือ เป็นต้น และในอนาคตยังมีแผนพัฒนาระบบขนส่งรางเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมื่อทำการวิเคราะห์ปริมาณความต้องการเดินทางทางน้ำทุก ๆ 5 ปี รวมทั้งสิ้น 20 ปี (พ.ศ. 2565 พ.ศ. 2570 พ.ศ. 2575 พ.ศ. 2580 พ.ศ. 2585) ของเส้นทางเดินเรือโดยสารแม่น้ำเจ้าพระยา โดยแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ 1) กรณีที่ไม่มีการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางตามแผนพัฒนา พบว่าปริมาณความต้องการเดินทางทางน้ำมีการเติบโตเฉลี่ยประมาณร้อยละ 1.08 ต่อปี เมื่อเทียบกับปีฐาน (พ.ศ. 2562) และ 2) กรณีที่มีการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางตามแผนพัฒนา ส่งผลให้มีปริมาณผู้โดยสารทางน้ำเพิ่มขึ้นพบว่า มีการเติบโตเฉลี่ยประมาณร้อยละ 2.03 ต่อปี เมื่อเทียบกับปีฐาน (พ.ศ. 2562)</p> จันทร์นภา กาบแก้ว เทอดศักดิ์ รองวิริยะพานิช Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-24 2024-09-24 34 4 ID. 244 086124 ตัวแบบผสมของตัวแบบอารีมาและโครงข่ายประสาทเทียม ด้วยวิธีการกึ่งนิวตันแบบมีขอบเขต สำหรับการพยากรณ์ผลผลิตของผลิตภัณฑ์เนื้อไก่รายปี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258454 <p>สินค้าปศุสัตว์มีบทบาทที่สำคัญสำหรับการบริหารจัดการด้านความมั่นคงทางอาหาร โดยผลิตภัณฑ์เนื้อไก่เป็นหนึ่งในสินค้าปศุสัตว์ที่สำคัญ ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญสำหรับประชากรและนิยมบริโภคในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งมีปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร สำหรับการบริหารจัดการด้านความมั่นคงทางอาหาร หนึ่งในสารสนเทศที่จำเป็น คือ ปริมาณการผลิตด้านอุปทานเพื่อให้สามารถเตรียมปริมาณผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ที่สามารถเข้าถึงได้และเพียงพอสำหรับประชากร แต่ปริมาณการผลิตในแต่ละช่วงเวลามีลักษณะที่ไม่แน่นอน ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ การพยากรณ์จึงเข้ามามีบทบาทที่สำคัญเพื่อทำนายค่าในอนาคต โดยงานวิจัยนี้ พัฒนาและนำเสนอตัวแบบผสมของตัวแบบอารีมาและตัวแบบโครงข่ายประสาทเทียมแบบป้อนไปข้างหน้าด้วยวิธีการกึ่งนิวตันแบบมีขอบเขต โดยนำตัวแบบผสมดังกล่าวเปรียบเทียบประสิทธิภาพกับตัวแบบพยากรณ์ 4 ตัวแบบ ได้แก่ ตัวแบบอารีมา ตัวแบบการปรับเรียบแบบเอ็กโพเนนเชียลอย่างง่าย ตัวแบบการปรับเรียบแบบเอ็กโพเนนเชียลแบบมีแนวโน้ม และตัวแบบซัพพอร์ตเวกเตอร์รีเกรตชัน ซึ่งตัวแบบพยากรณ์ต่าง ๆ เปรียบเทียบตามเกณฑ์การวัดประสิทธิภาพ 3 เกณฑ์ ได้แก่ ความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์เฉลี่ย ค่าร้อยละความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์เฉลี่ย และร้อยละความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์เฉลี่ยแบบสมมาตร จากผลการเปรียบเทียบแสดงให้เห็นว่า ตัวแบบผสมที่เสนอมีประสิทธิภาพดีกว่าตัวแบบพยากรณ์ต่าง ๆ โดยมีค่าร้อยละความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์เฉลี่ยน้อยกว่าร้อยละ 10 ซึ่งมีความแม่นยำสูงและสามารถใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการทำนายปริมาณการผลิตของผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ประกอบการวางแผนและบริหารจัดการด้านความมั่นคงทางอาหาร</p> เฉลิมชนม์ ไวศยดำรง ธรณินทร์ สัจวิริยทรัพรัพย์ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-24 2024-09-24 34 4 ID. 244 096260 พฤติกรรมการตัดสินใจหยุดหรือผ่านบริเวณสามแยกในช่วงสัญญาณไฟเหลืองที่ติดตั้งสัญญาณไฟเขียวกระพริบก่อนไฟเหลือง https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258500 <p>งานวิจัยนี้ศึกษาและเปรียบเทียบพฤติกรรมการตัดสินใจของผู้ขับขี่ในช่วงสัญญาณไฟเหลือง ในบริเวณสามแยกสัญญาณไฟจราจรที่ติดตั้งสัญญาณไฟเขียวกระพริบก่อนไฟเหลือง การศึกษานี้สำรวจลักษณะการควบคุมการจราจรในบริเวณสามแยกสี่แห่งในเขตเมืองนครราชสีมา สังเกตพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถนั่งส่วนบุคคล จำนวน 535 คัน ที่เข้าสู่ทางแยกในขณะที่สัญญาณไฟเหลืองปรากฎ ผลการศึกษาพบว่า รถใช้ความเร็วสูงเข้าสู่ทางแยกในช่วงสัญญาณไฟเหลือง ทุกแห่งมีความเร็วที่85 เปอร์เซ็นต์ไทล์สูงกว่าความเร็วจำกัด 3–40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผู้ขับขี่ร้อยละ 45 ที่อยู่ในระยะ 100 เมตร จากทางแยกเมื่อสัญญาณไฟเหลืองปรากฎตกอยู่ภายในเขตหนีเสือปะจระเข้ประเภทที่ 1 ในกลุ่มนี้ผู้ขับขี่ส่วนมาก (ร้อยละ 66) เลือกผ่านทางแยกไป ทางแยกที่เพิ่มจังหวะสัญญาณไฟเขียวกระพริบไว้ก่อนสัญญาณไฟเหลืองมีขนาดเขตหนีเสือปะจระเข้ประเภทที่ 2 หรือเขตไม่แน่ใจกว้างกว่าและมีตำแหน่งเริ่มหยุดใกล้เส้นหยุดกว่าทางแยกที่ติดตั้งสัญญาณไฟปกติ</p> คุณานนท์ ฉนานุกูล วิชุดา เสถียรนาม ธเนศ เสถียรนาม Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-26 2024-09-26 34 4 ID. 244 106392 สมบัติการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียของอนุภาคคอปเปอร์บนถ่านกัมมันต์ที่เตรียมด้วยการเอิบชุ่มแบบแห้งและแบบเปียก https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258502 <p>ถ่านกัมมันต์ซึ่งถูกเตรียมจากของเหลือทิ้งทางการเกษตรได้ถูกนำมาใช้บำบัดน้ำกันอย่างกว้างขวาง การเพิ่มสมบัติในการยับยั้งแบคทีเรียของถ่านกัมมันต์ดึงดูดความสนใจของนักวิจัยในการนำไปประยุกต์ใช้ในงานต่าง ๆ งานวิจัยนี้ศึกษาสมบัติการยับยั้งแบคทีเรียของคอปเปอร์บนถ่านกัมมันต์ที่เตรียมจากเม็ดบ๊วย (AAC) และเปรียบเทียบกับถ่านกัมมันต์ทางการค้า (CAC) อนุภาคคอปเปอร์ถูกเตรียมโดยวิธีเอิบชุ่มแบบเปียก (W) และแบบแห้ง (D) ด้วยสารละลายคอปเปอร์ (II) ไนเตรต เพื่อให้ได้ความเข้มข้นของคอปเปอร์ร้อยละ 5 โดยน้ำหนัก ผลวิเคราะห์องค์ประกอบจากเทคนิคการเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ์พบ Cu0 ในตัวอย่างที่เตรียมด้วยวิธีการเอิบชุ่มแบบเปียก (CAC-5W และ AAC-5W) ส่วน CuO และ Cu2O มักถูกพบในตัวอย่างที่เตรียมด้วยวิธีการเอิบชุ่มแบบแห้ง (CAC-5D และ AAC-5D) ภาพถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราดแสดงให้เห็นว่าอนุภาคคอปเปอร์/คอปเปอร์ออกไซด์บน CAC-5W มีกระจายตัวได้ดีกว่าตัวอย่าง CAC-5D จากผลการวิเคราะห์สมบัติการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี Disc Diffusion พบว่า ตัวอย่างที่เตรียมโดยวิธีเอิบชุ่มแบบเปียก (AAC-5W และ CAC-5W) แสดงสมบัติการยับยั้งเชื้อ Escherichia coli ATCC 25922 และ Staphylococcus aureus ATCC 25923 ได้ดีกว่าตัวอย่างที่เตรียมโดยวิธีการเอิบชุ่มแบบแห้ง (AAC-5D และ CAC-5D) ซึ่งแสดงสมบัติการยับยั้งเชื้อ E. coli เพียงอย่างเดียว ดังนั้นสรุปได้ว่าคอปเปอร์ที่เตรียมโดยวิธีเอิบชุ่มแบบเปียกมีสมบัติการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ดีกว่าที่เตรียมโดยวิธีการเอิบชุ่มแบบแห้ง</p> มาลี สันติคุณาภรณ์ เจนจิรา จิรแสงทอง ทรงวุฒิ จันที ชาญณรงค์ อัศวเทศานุภาพ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-26 2024-09-26 34 4 ID. 244 116232 สมบัติทางวิศวกรรมและการชะละลายโลหะหนักของมอร์ตาร์ปรับระดับผสมร่วมขากแผงวงจร อิเล็กทรอนิกส์แทนที่มวลรวมละเอียด https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258504 <p>ปัจจุบันขยะจากอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่หมดอายุการใช้งานได้กลายมาเป็นปัญหาขยะที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะขยะจากซากแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งยากต่อการกำจัด ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงเลือกใช้ซากแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ส่วนที่เป็นอโลหะ ซึ่งเป็นขยะเหลือทิ้งจากกระบวนการแปรใช้ใหม่โดยวิธีทางกายภาพมาใช้ในงานผลิตมอร์ตาร์ปรับระดับ กำหนดสัดส่วนผสมของมอร์ตาร์โดยการนำซากแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์มาทำการแทนที่มวลรวมละเอียดอัตราส่วนร้อยละ 2.5–20 โดยน้ำหนัก ทำการทดสอบสมบัติทางกายภาพของซากแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ สมบัติของมอร์ตาร์ในสภาวะเหลวและสภาวะแข็งตัว สมบัติการเป็นฉนวนกันความร้อน การวิเคราะห์สารประกอบด้วยรังสีเอ็กซ์และพฤติกรรมการชะละลายโลหะหนักของมอร์ตาร์ปรับระดับผสมร่วมซากแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ผลการทดสอบพบว่า ลักษณะการกระจายตัวของซากแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์มีค่าใกล้เคียงกับมวลรวมละเอียด ส่วนความถ่วงจำเพาะและความหนาแน่นต่ำกว่ามวลรวมละเอียด มอร์ตาร์ปรับระดับมีแนวโน้มความต้องการน้ำในส่วนผสมและระยะเวลาการก่อตัวเพิ่มขึ้นตามร้อยละการแทนที่มวลรวมละเอียดด้วยซากแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความหนาแน่นและการพัฒนากำลังอัดมีแนวโน้มลดลง มอร์ตาร์ปรับระดับมีสมบัติความเป็นฉนวนที่ดี ส่วนการชะละลายโลหะหนักที่ปะปนอยู่ในซากแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์มีค่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานกำหนด การพิจารณานำมอร์ตาร์ปรับระดับไปใช้งาน ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการผสมร่วมซากแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ไม่ควรเกินร้อยละ 15 สำหรับการใช้งานเทรองพื้น และไม่เกินร้อยละ 7.5 สำหรับงานเททับหน้า</p> ปวีณา บัวผาย บุรฉัตร ฉัตรวีระ กฤษดา เสือเอี่ยม Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-26 2024-09-26 34 4 ID. 244 126325 อิทธิพลของเส้นใยเหล็กต่อสมบัติของวัสดุเชื่อมประสานกระตุ้นด้วยด่างมอร์ตาร์เสริมเส้นใย สมรรถนะสูงจากเถ้าลอยแคลเซียมสูง และเถ้าตะกรันเหล็ก https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258505 <p>บทความนี้นำเสนอผลกระทบของเส้นใยเหล็กในวัสดุเชื่อมประสานกระตุ้นด้วยด่างมอร์ตาร์สมรรถนะสูงจากเถ้าลอยแคลเซียมสูงผสมเถ้าตะกรันเหล็กต่อความสามารถในการทำงาน สมบัติเชิงกล เสริมเส้นใยเหล็กร้อยละ 0 ถึง 1.5 โดยปริมาตร ในการศึกษานี้ทำการแปรผันอัตราส่วนของเหลวต่อวัสดุประสานเท่ากับ 0.40 และ 0.45 และความเข้มข้น NaOHเท่ากับ 8 และ 12 โมลาร์ ทุกส่วนผสมจะใช้อัตราส่วนทรายต่อวัสดุประสานเท่ากับ 1.25 และอัตราส่วนสารละลายโซเดียมซิลิเกตต่อสารละลายโซเดียมไฮดอรกไซด์เท่ากับ 1.0 โดยทำการทดสอบความสามารถในการทำงาน (การไหลในแนวราบแบบอิสระ และเวลาในการไหลแนวราบแบบอิสระ) และทดสอบคุณสมบัติเชิงกล (กำลังรับแรงอัด กำลังรับแรงดัด) ผลการทดสอบพบว่า&nbsp;การไหลในแนวราบมีแนวโน้มลดลง ขณะที่เวลาในการไหลแผ่อิสระในแนวราบเพิ่มขึ้น ตามปริมาณเส้นใยเหล็กที่เพิ่มขึ้นกำลังรับแรงอัด กำลังรับแรงดัด ความเหนียว และกำลังรับแรงดัดคงค้างมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามปริมาณเส้นใยเหล็ก</p> ดารกร อินทรบุตร ปิติ สุคนธสุขกุล บูชิต มาโห้ ภัทรชัย พงศ์โสภา ธนากร ภูเงินขำ สกลวรรณ ห่านจิตสุวรรณ์ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-26 2024-09-26 34 4 ID. 244 136275 การจำแนกข้อความโดยใช้การเรียนรู้ของเครื่องสำหรับหนังสือราชการไทย https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258513 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดรูปแบบการจำแนกประเภทข้อความที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการจัดประเภทข้อความหลายชั้นในโดเมนเอกสารทางราชการภาษาไทย ในการทดลองได้ทำการศึกษา โดยการสร้างตัวแยกประเภทข้อความโดยใช้ WangchanBERTa ซึ่งเป็นโมเดลภาษาไทยแบบฝึกล่วงหน้าร่วมกับตัวแบบดั้งเดิมที่เป็นที่นิยมและเปรียบเทียบประสิทธิภาพ โมเดลจำแนกประเภททั้งหมดได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสม และทำการฝึกฝนชุดข้อมูลองค์กร ซึ่งได้ประเมินจากเมตริกการประเมิน 4 แบบ ได้แก่ค่า Accuracy, Precision, Recall และ F1-score. ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า แบบจำลอง WangchanBERTa มีความแม่นยำสูงถึง 76% ซึ่งประสิทธิภาพดีกว่าแบบจำลองพื้นฐานอื่น ๆ และสามารถนำมาประยุกต์ใช้สำหรับหน่วยงานราชการไทย ในการจำแนกประเภทของหนังสือราชการไทยได้</p> ปกรณ์ สันตกิจ พงษ์พร พันธ์เพ็ง ปรีชา โพธิ์แพง เยาวลักษณ์ งามแสนโรจน์ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-26 2024-09-26 34 4 ID. 244 176235 การนำองค์กรในด้านการรักษาความมั่นคงทางไซเบอร์สำหรับผู้บริหารระดับสูงของธนาคารไทย https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258514 <p>ภัยคุกคามทางไซเบอร์ถือเป็นความเสี่ยงและส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของธนาคาร การรักษาความมั่นคงทางไซเบอร์จึงเป็นสิ่งสำคัญต่อธุรกิจของธนาคาร โดยที่ประสิทธิผลของการรักษาความมั่นคงไซเบอร์ขึ้นอยู่กับบทบาทในการนำองค์กรของผู้บริหารระดับสูงของธนาคารตลอดจนมีมาตรฐานและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอยู่หลายประการ อย่างไรก็ตามยังไม่มีแนวทางและวิธีการปฏิบัติในการนำองค์กรอย่างมีประสิทธิผลที่กำหนดไว้ในมาตรฐานและกฎระเบียบเหล่านั้น งานวิจัยนี้จึงเสนอแนวทางในการนำองค์กร และวิธีการในการรักษาความมั่นคงทางไซเบอร์อย่างมีประสิทธิผล สำหรับผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร โดยแนวทางในการนำองค์กรอย่างมีประสิทธิผลดำเนินการตาม Baldrige Cybersecurity Excellence Builder ส่วนวิธีการปฏิบัติตามแนวทางที่เสนอนั้นเรียบเรียงขึ้นจาก แนวทางการรักษาความมั่นคงทางไซเบอร์ของ NIST แนวทางการกำกับดูแลเทคโนโลยีสารสนเทศ COBIT5 มาตรฐานด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ที่เกี่ยวข้อง 4 มาตรฐาน ได้แก่ ISO/IEC 27001:2013 CIS Control 7.1 ISA 62443-2-1-2009 และ NIST.SP.800-53 Revision 4 มาตรฐานระบบบริหารงานคุณภาพ ISO 9001:2015 และระเบียบปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทยตลอดจนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง วิธีปฏิบัติตามแนวทางการนำองค์กรที่เรียบเรียงขึ้นจึงสอดคล้องกับมาตรฐานความมั่นคงทางไซเบอร์ ครอบคลุมแนวทางการนำองค์กรของผู้บริหารระดับสูงในเรื่อง การกำหนดภารกิจ วิสัยทัศน์ และค่านิยมที่เกี่ยวกับรักษาความมั่นคงทางไซเบอร์ที่ส่งผลครอบคลุมไปถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด การปฏิบัติตนให้แสดงถึงความมุ่งมั่นในการรักษาความมั่นคงทางด้านไซเบอร์อย่างจริงจัง การแสดงให้เห็นความมุ่งมั่นต่อการปฏิบัติตามกฎหมายและจริยธรรมความมั่นคงทางไซเบอร์อย่างเข้มงวด การสื่อสารและการสร้างความผูกพันกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุผลตามนโยบายด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ และการมุ้งเน้นให้การดำเนินการของธนาคารบรรลุวัตถุประสงค์ด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ หากผู้บริหารระดับสูงของธนาคารปฏิบัติตามแนวทางและวิธีการที่นำเสนอนอกจากจะมั่นใจได้ว่าการจัดการการรักษาความมั่นคงทางไซเบอร์มีคุณภาพและเป็นไปตามมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ที่ยอมรับกันทั่วไปแล้วยังช่วยให้มั่นใจได้ว่ามีการปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน ส่งผลให้การรักษาความมั่นคงทางไซเบอร์เป็นไปอย่างมีประสิทธิผล</p> จักรกฤษ ไวโสภา บวร ปภัสราทร Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-26 2024-09-26 34 4 ID. 244 186483 การศึกษาการเปลี่ยนแปลงลักษณะสัณฐานชายหาด โดยใช้แบบจำลองความสูงพื้นผิวเชิงเลข จากอากาศยานไร้คนขับ บริเวณหาดนาใต้-หาดเขาปิหลาย จังหวัดพังงา https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258517 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงลักษณะสัณฐานชายหาดโดยใช้ภาพถ่ายจากอากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle: UAV) บริเวณหาดนาใต้-หาดเขาปิหลาย จังหวัดพังงา ในช่วงมรสุม (มิถุนายน พ.ศ. 2564) และช่วงหลังมรสุม (พฤศจิกายน พ.ศ. 2564) โดยนำภาพถ่ายจากอากาศยานไร้คนขับมาทำการปรับแก้ความถูกต้องเชิงตำแหน่งและประมวลผลข้อมูลภาพด้วยกระบวนการโฟโตรแกรมมีตรี เพื่อสร้างแบบจำลองความสูงพื้นผิวเชิงเลขและภาพออร์โธ ประเมินความถูกต้องของแบบจำลองความสูงพื้นผิวเชิงเลขโดยใช้ข้อมูลการสำรวจด้วย RTK และทำการเปรียบเทียบภาพหน้าตัดชายหาดที่ได้จากอากาศยานไร้คนขับและการสำรวจภาคสนาม ผลการศึกษาพบว่า ความคลาดเคลื่อนเฉลี่ยกำลังสอง (RMSE) ของระดับความสูงระหว่างข้อมูลแบบจำลองความสูงพื้นผิวเชิงเลขและ RTK ในช่วงมรสุมและหลังมรสุม เท่ากับ 0.09 และ 0.04 เมตร นอกจากนี้ความแตกต่างระหว่างภาพหน้าตัดชายหาดที่ได้จากแบบจำลองความสูงพื้นผิวเชิงเลขกับการสำรวจภาคสนามมีความแตกต่างกันน้อยกว่า 0.01 เมตรการเปลี่ยนแปลงของลักษณะสัณฐานชายหาดพบว่า ในช่วงมรสุมมีความลาดชันสูงตลอดแนวและมีเนินทรายเล็กน้อย ในขณะที่ช่วงหลังมรสุมมีลักษณะเป็นเนินทรายมากขึ้นเนื่องจากมีปริมาณชายหาดเพิ่มขึ้น ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าอากาศยานไร้คนขับสามารถใช้ในการศึกษาการเปลี่ยนแปลงสัณฐานชายหาดได้ ข้อมูลมีคุณภาพและเป็นพื้นฐานสำหรับการสำรวจลักษณะสัณฐานชายหาดต่อไป</p> สิริวรวณ รวมแก้ว รวี รัตนาคม ขจรศักดิ์ กาวิระมูล ธีรภัทร เรืองสุขแ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-26 2024-09-26 34 4 ID. 244 196424 การศึกษาอัลกอริทึมสำหรับระบบแนะนำรายการอาหารและเครื่องดื่มบนชุดข้อมูลภาษาไทย https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258518 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัลกอริทึมที่เหมาะสมสำหรับการสร้างระบบแนะนำรายการอาหารตามรสนิยมความชื่นชอบของผู้บริโภคจากชุดข้อมูลภาษาไทยเนื่องจากการได้รับอาหารที่เหมาะสมจะส่งผลให้ผู้บริโภคมีความสุขเกิดความรู้สึกเชิงบวกและมีสุขภาพที่ดีนอกจากนั้นในมิติของธุรกิจร้านอาหารระบบแนะนำยังสามารถช่วยเสริมสร้างความพึงพอใจ ความจงรักภักดีของลูกค้าและลดระยะเวลาในการตัดสินใจสั่งซื้อ ซึ่งในงานนี้ผู้วิจัยทำการศึกษาเชิงสำรวจจากอัลกอริทึมการแนะนำอาหารที่มีความโดดเด่น 2 ประเภท ได้แก่ เทคนิคการกรองแบบอิงเนื้อหาและเทคนิคการกรองแบบมีส่วนร่วมซึ่งผลของการศึกษาจะแสดงให้เห็นลักษณะเฉพาะของแต่ละวิธีการ สำหรับเทคนิคการกรองแบบอิงเนื้อหาผู้วิจัยได้ประยุกต์เทคนิค Bag-of-Words (BoW) และ TF-IDF ร่วมกับการหาความคล้ายคลึงแบบโคไซน์ (Cosine Similarity) และมากไปกว่านั้นงานวิจัยนี้พบว่า BoW จะสามารถแนะนำรายการอาหารโดยทั่วไปได้มากกว่า TF-IDF เล็กน้อย สำหรับเทคนิคการกรองแบบมีส่วนร่วมผู้วิจัยได้ดำเนินการผ่านอัลกอริทึม KNN Basic, SVD และ SVD++ เพื่อสร้างแบบจำลองการแนะนำและประเมินประสิทธิของแบบจำลองด้วยวิธีการของ MAE และ RMSE ซึ่งพบว่า SVD++ ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าด้วยค่าผิดพลาด MAE และ RMSE น้อยที่สุด คือ 0.885 1.105 ตามลำดับ</p> อนันต์ยศ แก้วละมุล สถิตย์โชค โพธิ์สอาด ธรรมศักดิ์ เธียรนิเวศน์ ศุภกฤษฎิ์ นิวัฒนากูล Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-26 2024-09-26 34 4 ID. 244 206388 กระบวนการผลิตและการประยุกต์ใช้คอลลาเจนจากปลิงทะเลสู่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258333 <p>Collagen protein is composed of polymeric chains of amino acids that form a triple helix. The human body contains around 30% collagen and 90% of the collagen is the type 1 collagen. Types of collagens are differentiated by how molecules are assembled and where the components are deposited. There are 28 types of collagens including 5 main types [1]. Collagen type 1 supports for structures of bones, blood vessel walls, tendons, ligaments, corneas, skins, and connective tissues [2]. It helps to prevent tissues from tearing, healing wounds on the skin, preventing wrinkles, and promoting skin elasticity. Collagen type 2 is mostly found in components of ears, nose, pharynx, and ribs [3]. It functions to stimulate cells to reduce the degradations of cartilage, bones, and joints. Collagen type 3 is found alongside collagen type 1 in blood vessels but is found in less than 10% [4]. Collagen type 4 has unique characteristics that is mostly found in extracellular basement membranes and body fat. It supports function of the nervous system and blood vessel. Collagen type 5 is a component of the cell membrane. It is found in the eye cornea, cell surface, hairs, and placenta of an expecting mother.</p> วทันยา ไซยสายัณท์ พัชนีย์ ยะสุรินทร์ สมัชชา กรุงแก้ว วิทวัส กาศยปนันทน์ ธีราวุฒิ ภู่สันติสัมพันธ์ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-16 2024-09-16 34 4 ID. 244 007433 การพัฒนากระบวนการกลั่นทางชีวภาพเพื่อการผลิต เชื้อเพลิงชีวภาพ สารเคมี และวัสดุชีวภาพจากชีวมวลลิกโนเซลลูโลส https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258527 <p>กระบวนการกลั่นทางชีวภาพเป็นกระบวนการที่นำวัสดุชีวมวลลิกโนเซลลูโลสมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ พลังงานชีวภาพ (เช่น เอทานอล มีเทน บิวทานอล) พลาสติกชีวภาพ สารเคมีแพลทฟอร์ม สารชีวเคมี เป็นต้น โดยวัสดุชีวมวลลิกโนเซลลูโลสได้มาจากกิจกรรมทางการเกษตร หรือโรงงานแปรรูปสินค้าเกษตร เช่น ฟางข้าว ชานอ้อย กากกาแฟ หญ้า ซังข้าวโพด เป็นต้น ซึ่งมักจะถูกนำไปเผาทำลายหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวก่อให้เกิดเป็นมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม เนื่องจากลักษณะที่สำคัญของชีวมวลลิกโนเซลลูโลสประกอบไปด้วย เซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส และลิกนิน ซึ่งชีวมวลสามารถเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลที่ใช้เป็นวัตถุดิบในกระบวนการหมักด้วยจุลินทรีย์ จึงทำให้ชีวมวลชนิดนี้มีศักยภาพสูงในการนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในกระบวนการกลั่นทางชีวภาพ นอกจากนี้ยังถือว่าวัสดุชีวมวลลิกโนเซลลูโลสเป็นวัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยังช่วยลดปัญหาปริมาณขยะที่เกิดจากของเหลือทิ้งทางการเกษตร บทความนี้จึงรวบรวมแนวทางการพัฒนากระบวนการกลั่นทางชีวภาพของชีวมวลลิกโนเซลลูโลสเพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์หลักสามประเภท ได้แก่ พลังงานชีวภาพ พลาสติกชีวภาพ และสารเคมีแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนางานวิจัยและรวมไปถึงการนำเสนอข้อจำกัดของกระบวนการและแนวทางในการพัฒนาในเพื่อการผลิตในระดับอุตสาหกรรมในอนาคต</p> วนารัตน์ ภาคีนุยะ ณิชาภัทร กิติบวรกุุล Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-27 2024-09-27 34 4 ID. 244 246490 ปกวารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258359 <p>-</p> ปกวารสาร มจพ. วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-17 2024-09-17 34 4 บรรณาธิการวารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258360 บรรณาธิการวารสารวิชาการ พระจอมเกล้าพระนครเหนือ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-17 2024-09-17 34 4 คำแนะนำในการเตรียมต้นฉบับบทความวารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258361 คำแนะนำในการเตรียมต้นฉบับบทความ วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-17 2024-09-17 34 4 การติดตามคุณภาพซุปจากกากถั่วดาวอินคากึ่งสำเร็จรูปชนิดผงที่ทำแห้งแบบโฟมแมทและแบบลมร้อนระหว่างการเก็บ https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258507 <p>กากถั่วดาวอินคาหลังการบีบน้ำมันยังคงมีคุณค่าทางโภชนาการที่มีประโยชน์นำมาสร้างมูลค่าเพิ่มได้ ซึ่งเป็นผลดีด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และการใช้ประโยชน์ถั่วดาวอินคาอย่างคุ้มค่า งานวิจัยนี้ผลิตซุปที่ปรุงรสแล้วและนำมาทำแห้งแบบโฟมแมทและแบบลมร้อน เพื่อให้อยู่ในรูปแบบผงที่สามารถชงกับน้ำร้อนเพื่อคืนรูปก่อนรับประทานได้ ติดตามการเปลี่ยนแปลงคุณภาพของซุปกึ่งสำเร็จรูปโดยการทำแห้งแบบโฟมแมท (Foam Mat Dried Soup; FMDS) และซุปกึ่งสำเร็จรูปโดยการทำแห้งแบบลมร้อน (Hot air Dried Soup; HDS) โดยบรรจุซุปผงในซองอะลูมิเนียมฟอยล์ เก็บที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 60 วัน จากผลการทดลองพบว่า ทั้ง FMDS และ HDS มีคุณภาพเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) คุณภาพที่เปลี่ยนแปลงไปมีดังนี้ ทางเคมีกายภาพ ได้แก่ ปริมาณความชื้น ค่า aw ความสามารถในการดูดความชื้น และค่าเพอร์ออกไซด์ สำหรับคุณภาพทางประสาทสัมผัส ได้แก่ คะแนนการเกาะตัวกันและกลิ่นหืน แต่ไม่พบการเปลี่ยนแปลงทางจุลินทรีย์ ได้แก่ ปริมาณจุลินทรีย์ทั้งหมด ปริมาณยีสต์และรา รวมทั้งคุณภาพทางประสาทสัมผัสด้านความสามารถในการดูดน้ำกลับ (p≥0.05) ตลอดเวลาเก็บรักษา FMDS มีปริมาณความชื้น (1.16–2.42%) และค่า aw (0.21–0.44) ต่ำกว่า HDS (ความชื้น 4.44–5.72%, aw 0.48–0.51) แสดงถึงโอกาสในการคงตัวระหว่างการเก็บดีกว่า</p> สุภัสสรา กิตติพิทยากุล วิชมณี ยืนยงพุทธกาล Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-26 2024-09-26 34 4 ID. 244 146305 การเตรียมและการวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะของไฮโดรเจลต้านเชื้อแบคทีเรียจากพอลิไวนิล แอลกอฮอล์/ว่านหางจระเข้/ไคโตซานสำหรับประยุกต์ใช้เป็นวัสดุปิดแผลไฟไหม้ https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258508 <p>ไคโตซานเป็นพอลิแซ็กคาไรด์ธรรมชาติที่ได้จากไคติน ไม่มีความเป็นพิษ เข้ากันได้ทางชีวภาพ ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ มีสมบัติในการห้ามเลือด และยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ทำให้สามารถประยุกต์ใช้งานด้านชีวการแพทย์ได้หลากหลาย ในงานวิจัยนี้ได้เตรียมไฮโดรเจลของพอลิไวนิลแอลกอฮอล์ ว่านหางจระเข้ และไคโตซาน โดยการผสมสารละลายทั้งหมดเข้าด้วยกันจากนั้นเชื่อมขวางด้วยกลูตารัลดีไฮด์ เพื่อประยุกต์ใช้เป็นวัสดุปิดแผลไฟไหม้ โดยได้ศึกษาปริมาณของไคโตซาน (1% 2% และ 3%) และกลูตารัลดีไฮด์ (2.5% 5% และ 10%) ที่ส่งผลต่อสมบัติทางกายภาพ สมบัติเชิงกล และฤทธิ์ต้านแบคทีเรียของไฮโดรเจลที่เตรียมได้ จากนั้นวิเคราะห์โครงสร้างของไฮโดรเจลด้วยเทคนิคฟูเรียร์ทรานฟอร์มอินฟราเรดสเปกโทรสโกปี ผลการวิจัยพบว่า สัดส่วนการบวมตัว อัตราการซึมผ่านไอน้ำ การยุบตัว และความพรุนของไฮโดรเจลเพิ่มขึ้นตามปริมาณของไคโตซานที่เพิ่มขึ้น แต่ลดลงเมื่อปริมาณของกลูตารัลดีไฮด์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้การเพิ่มปริมาณของไคโตซาน และกลูตารัลดีไฮด์ยังส่งผลให้ความต้านทานแรงดึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ความยืดสูงสุด ณ จุดขาดมีแนวโน้มลดลง การประเมินสมบัติการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย แสดงให้เห็นว่าไฮโดรเจลสามารถยับยั้งได้ทั้งเชื้อแบคทีเรียแกรมบวก (S. aureus) และแบคทีเรียแกรมลบ (E. coli) ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า ปริมาณของไคโตซานและกลูตารัลดีไฮด์เป็นปัจจัยสำคัญในการเตรียมวัสดุปิดแผลเพื่อให้ได้วัสดุที่มีสมบัติเหมาะสมสำหรับใช้ปิดแผล สรุปได้ว่า ไฮโดรเจลของพอลิไวนิลแอลกอฮอล์ว่านหางจระเข้ และไคโตซาน มีศักยภาพในการพัฒนาต่อไปเป็นวัสดุปิดแผลไฟไหม้ในอุดมคติ</p> ชนกสุดา เหมือนแก้วจินดา นัดดา วังหิตั้ง ธัญวลัย ฉัตรค้ำจุนเจริญ วิไลพร ไกรสุวรรรณ ภัคจิรัตน์ สิงหะบุตร Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-26 2024-09-26 34 4 ID. 244 156453 การเปรียบเทียบประสิทธิภาพวิธีการคัดเลือกตัวแปรอิสระสำหรับตัวแบบการถดถอยไวบูลไม่ต่อเนื่อง https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258512 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอประสิทธิภาพการคัดเลือกตัวแปรอิสระของตัวแบบการถดถอยไวบูลไม่ต่อเนื่องทั้งหมด 4 วิธี ได้แก่ วิธีการถดถอยทีละขั้น วิธีบูตสแทร็ปทีละขั้น วิธีแบบเบส์ภายใต้การแจกแจงก่อนคือการแจกแจงปรกติ และวิธีแบบเบส์ภายใต้การแจกแจงก่อนคือการแจกแจงลาปลาซ โดยเปรียบเทียบประสิทธิภาพของวิธีการคัดเลือกตัวแปรด้วยอัตราความสำเร็จ รวมถึงได้ศึกษาประสิทธิภาพของการประมาณค่าพารามิเตอร์ด้วยค่าเฉลี่ยของค่าคลาดเคลื่อนกำลังสองเฉลี่ยจากการจำลองด้วยเทคนิคมอนติคาร์โลภายใต้สถานการณ์ที่ตัวแปรอิสระมีความสัมพันธ์เชิงเส้นพหุและไม่มีความสัมพันธ์เชิงเส้นพหุ ตัวแบบผ่านฟังก์ชันเชื่อมโยงแบบล็อก-ล็อกและลอจิต และลักษณะของข้อมูลตัวแปรตามมีการกระจายต่ำกว่าเกณฑ์และการกระจายเกินเกณฑ์ นอกจากนั้นผู้วิจัยยังนำทั้ง 4 วิธีมาประยุกต์ใช้กับข้อมูลจริง ผลจากการจำลองโดยสรุปพบว่าโดยส่วนใหญ่วิธีบูตสแทร็ปทีละขั้นให้ประสิทธิภาพดีที่สุด วิธีแบบเบส์จะมีประสิทธิภาพรองลงมาและให้ประสิทธิภาพดีที่สุดเมื่อขนาดตัวอย่างเท่ากับ 100 ส่วนวิธีการถดถอยทีละขั้นจะมีประสิทธิภาพน้อยที่สุดแต่จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อขนาดตัวอย่างมากขึ้น และผลจากการประยุกต์ใช้กับข้อมูลจริงพบว่าวิธีบูตสแทร็ปทีละขั้นให้ประสิทธิภาพดีที่สุด</p> มณฑิรา ดวงสาพล ปวีณ์กร มิ่งเชื้อ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-26 2024-09-26 34 4 ID. 244 166378 การพัฒนาทักษะการจัดผังบริเวณโดยใช้ความจริงเสมือนแบบดื่มด่ำ https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258519 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์กรอบแนวคิดการพัฒนาทักษะการจัดผังบริเวณ (Space Planning Skills) โดยใช้ความจริงเสมือนแบบดื่มด่ำ (Immersive Virtual Reality) และเพื่อศึกษาผลการพัฒนาทักษะการจัดผังบริเวณโดยใช้ความจริงเสมือนแบบดื่มด่ำ เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ ความจริงเสมือนแบบดื่มด่ำเพื่อการจัดสภาพแวดล้อมเสมือนจริงที่สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์แบบทันทีทันใดกับผู้ออกแบบ (Dynamic Real Time Visualizations) บนสภาพแวดล้อมของอาคารชุดพักอาศัย และแบบประเมินทักษะการจัดผังบริเวณแบบรูบริค (Scoring Rubrics) กลุ่มทดลองที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักศึกษาในสาขาที่เกี่ยวข้องกับสถาปัตยกรรมและออกแบบภายใน จำนวน 10 คน ผลการวิจัยพบว่า กรอบแนวคิดการพัฒนาทักษะการจัดผังบริเวณโดยใช้ความจริงเสมือนแบบดื่มด่ำ ในส่วนการเรียนรู้ (Learning Process) ประกอบด้วย 1. การสำรวจและประเมินสภาพแวดล้อมพื้นที่ภายใน 2. ตรวจสอบประเภทเครื่องเรือน 3. จัดวางเครื่องเรือนภายในพื้นที่ และ 4. สร้างมุมมองเพื่อการนำเสนอ ในด้านทักษะการจัดผังบริเวณโดยใช้ความจริงเสมือนแบบดื่มด่ำ มีค่าคะแนนทักษะการจัดผังบริเวณอยู่ในเกณฑ์ดีมาก (ร้อยละ 74.28) จำนวน 6 คน โดยสามารถพัฒนาทักษะการจัดผังบริเวณให้เกิดความสมดุลระหว่างเครื่องเรือนกับระยะห่างของเครื่องเรือน และจัดวางเครื่องเรือนให้สอดคล้องกับขนาดของห้อง การพัฒนาทักษะการจัดผังบริเวณโดยใช้ความจริงเสมือนแบบดื่มด่ำจะช่วยลดปัญหาของผู้เรียนในการเข้าใจปัญหาของสภาพแวดล้อม และสามารถลดข้อจำกัดทางกายภาพที่ไม่สามารถจำลองบนพื้นที่จริง การวิจัยนี้ยังพบว่าการใช้ความจริงเสมือนแบบดื่มด่ำเป็นวิธีที่เหมาะสม ช่วยให้นักศึกษาสาขาที่เกี่ยวข้องกับสถาปัตยกรรมและออกแบบภายในในช่วงชั้นปีแรกให้เข้าใจแนวคิดของการจัดผังบริเวณได้เป็นอย่างดี</p> ศวิษฐ์ พิริยะสุรวงศ์ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-26 2024-09-26 34 4 ID. 244 216443