https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/issue/feed
วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
2025-09-29T17:23:49+07:00
Professor Dr. Suchart Siengchin
journal@op.kmutnb.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (The Journal of King Mongkut's University of Technology North Bangkok)</strong> เป็นวารสารที่เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ อุตสาหกรรมเกษตร เทคโนโลยีสารสนเทศ สถาปัตยกรรม และวิชาการขั้นสูงที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและอุตสาหกรรม ผลงานวิชาการที่รับตีพิมพ์เป็นบทความวิจัย บทความวิชาการ และบทความบรรณาธิการปริทัศน์ที่เขียนด้วยภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ<br />วารสารพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ตีพิมพ์ทั้งรูปเล่มและออนไลน์ โดยกำหนดจัดทำปีละ 4 ฉบับ คือ</p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม–มีนาคม</li> <li>ฉบับที่ 2 เดือนเมษายน–มิถุนายน</li> <li>ฉบับที่ 3 เดือนกรกฎาคม–กันยายน</li> <li>ฉบับที่ 4 เดือนตุลาคม–ธันวาคม</li> </ul> <p>วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เป็นวารสารที่จัดอยู่ในฐานข้อมูลดังนี้</p> <ul> <li>เป็นวารสารที่อยู่ในฐานข้อมูล ASEAN Citation Index (ACI)</li> <li>เป็นวารสารที่อยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารไทย (TCI) กลุ่มที่ 1 ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี</li> <li>สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ยอมรับให้เป็นวารสารระดับชาติและเป็นวารสารสำหรับการพิจารณาผลงานตีพิมพ์ เรื่องที่ 2 ของนักศึกษาทุน คปก. ในหลักสูตรกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก่อนสำเร็จการศึกษาปริญญาเอก</li> </ul> <p><strong>สถิติการพิจารณาอ้างอิงจากปี 2567</strong></p> <p>จำนวนวันเฉลี่ยในการพิจารณาเบื้องต้น : 9 วัน</p> <p>จำนวนวันเฉลี่ยในการรับพิจารณาตอบรับตีพิมพ์: 88 วัน</p> <p>อัตราการยอมรับตีพิมพ์ในปี 2567 : 58%</p>
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/264161
ปกวารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
2025-09-29T17:14:33+07:00
ปกวารสาร มจพ. วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
journal@op.kmutnb.ac.th
2025-09-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/264162
บรรณาธิการวารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
2025-09-29T17:20:06+07:00
บรรณาธิการ วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
่่journal@op.kmutnb.ac.th
<p>บรรณาธิการวารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ</p>
2025-09-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/264163
คำแนะนำในการเตรียมต้นฉบับบทความวารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
2025-09-29T17:23:49+07:00
คำแนะนำในการเตรียมต้นฉบับบทความ วิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
่่journal@op.kmutnb.ac.th
<p>คำแนะนำในการเตรียมต้นฉบับบทความวารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ</p>
2025-09-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258020
ข้อเสนอแนะในการแก้ไขกฎหมายกรณีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
2024-10-21T13:06:11+07:00
วรวิทย์ กิติกุศล
worawit55@hotmail.com
พงษ์พิสิฐ วุฒิดิษฐโชติ
worawit55@hotmail.com
<p>บทความวิชาการนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์กรอบกฎหมายและแนวปฏิบัติของ GDPR และ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ AI ในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลการศึกษาเน้นการทำความเข้าใจถึงหลักการสำคัญของกฎหมายทั้งสองฉบับที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลโดย AI เช่น การตัดสินใจอัตโนมัติ (Automated Decision-Making) การประเมินผลกระทบด้านความเป็นส่วนตัว (Privacy Impact Assessment) และการคุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล บทความวิชาการนี้ยังได้รวบรวมแนวปฏิบัติและตัวอย่างการนำ AI ไปใช้ในบริบทที่ปลอดภัยและสอดคล้องกับกฎหมาย นอกจากนี้ยังนำเสนอแนวทางจากกฎหมาย GDPR และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ในการลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการอภิปรายเกี่ยวกับความท้าทายและข้อจำกัดในการปรับใช้กฎหมายดังกล่าวในบริบทของประเทศไทย ซึ่งควรได้รับการปรับปรุงให้มีความชัดเจนและครอบคลุมการใช้ AI ในการประมวลผลข้อมูลมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่การตัดสินใจโดย AI อาจส่งผลกระทบต่อสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ควรเพิ่มข้อกำหนดในการแจ้งเตือนและเปิดโอกาสให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถคัดค้านหรือขอให้มีการตรวจสอบการตัดสินใจโดยมนุษย์ได้</p>
2025-01-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256534
การจำแนกประเภทหลายหมวดหมู่ด้วยการเรียนรู้ของเครื่องเพื่อพยากรณ์ระดับน้ำตาลสะสมในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2
2024-08-27T10:55:01+07:00
ณพัชร โพธิ์ศรี
naphatposri@gmail.com
วฤษาย์ ร่มสายหยุด
walisa.rom@stou.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจำแนกกลุ่มระดับน้ำตาลสะสมในเลือดและการควบคุมโรคของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ด้วยแบบจำลองการเรียนรู้ของเครื่อง โดยรวบรวมข้อมูลเวชระเบียนจำนวน 28,431 เวชระเบียน 37 คุณลักษณะ นำมาผ่านกระบวนการจัดเตรียมข้อมูล การคัดเลือกคุณลักษณะด้วยวิธีการลดคุณลักษณะโดยการวัดค่าสารสนเทศ (Information Gain Feature Reduction; IG) การกำจัดคุณลักษณะแบบวนซ้ำ (Recursive Feature Elimination; RFE) และการวัดความสำคัญของคุณลักษณะด้วยวิธีป่าสุ่ม (Random Forest Importance; RFI) การจัดการกับข้อมูลไม่สมดุลด้วยเทคนิค Synthetic Minority Over-sampling Technique; SMOTE (SM) เทคนิค Borderline-SMOTE (BM) และเทคนิค Adaptive Synthetic (ADA) และสร้างแบบจำลองด้วย 5 อัลกอริทึม การจำแนกประเภทหลายหมวดหมู่ ผลการวิจัยพบว่า แบบจำลอง IG + SM ร่วมกับอัลกอริทึมป่าสุ่ม (Random Forest) มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีร้อยละความถูกต้องความแม่นยำ ความครบถ้วน และค่า F1 Score เท่ากับ 81.89 82.13 81.89 81.83 ตามลำดับ จากผลการวิจัยสามารถนำแบบจำลองไปประยุกต์ใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจส่งตรวจติดตามระดับน้ำตาลสะสมในเลือดเพิ่มเติมจากปกติและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมโรคเบาหวานในเขตพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาล</p>
2024-11-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/257389
การคัดเลือกตัวแปรแบบเบส์สำหรับตัวแบบการถดถอยเชิงเส้นที่มีมิติสูงโดยใช้กราฟแบบมีทิศทาง
2024-09-23T09:01:38+07:00
บุษราคัม ประทานทรัพย์
busarakam.pra@gmail.com
วิฐรา พึ่งพาพงศ์
vitara@cbs.chula.ac.th
<p>ในการสร้างตัวแบบการถดถอยที่มีมิติสูง การคัดเลือกตัวแปรอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มความสามารถในการตีความและความแม่นยำของตัวแบบ บทความนี้นำเสนอวิธีการคัดเลือกตัวแปรสำหรับตัวแบบการถดถอยที่มีมิติสูงด้วยวิธี Iterated Conditional Modes/Medians Algorithm (ICM/M) ซึ่งนำกราฟแบบมีทิศทางเข้ามาใช้ประกอบการคัดเลือกตัวแปรแบบเบส์เพื่อจับความสัมพันธ์ที่มีทิศทางระหว่างตัวแปรต่าง ๆ โดยเรียกวิธีการใหม่ว่า ICM/MD ในบทความนี้เปรียบเทียบประสิทธิภาพของวิธี ICM/MD กับวิธีลาสโซ่ วิธี ICM/M แบบไม่พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร และวิธี ICM/M แบบพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรโดยใช้กราฟแบบไม่มีทิศทางผ่านข้อมูลจำลองต่าง ๆ ในบริบทของจีโนม ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าวิธี ICM/MD ให้อัตราการเกิดผลบวกเทียมที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่รักษาอัตราการเกิดผลลบเทียมในระดับที่สามารถแข่งขันกับวิธีอื่นได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีบางยีนในเครือข่ายมีความสัมพันธ์กับตัวแปรตามและตัวแปรอิสระมีเป็นจำนวนมาก ความสมดุลของความแม่นยำและความไวในการคัดเลือกตัวแปรนี้ทำให้ตัวแบบมีความน่าเชื่อถือและมีความสามารถในตีความได้ดีขึ้น วิธี ICM/MD พิสูจน์ได้ว่าเป็นเครื่องมือที่แกร่งและมีคุณค่าสำหรับนักวิจัยซึ่งต้องจัดการกับชุดข้อมูลที่มีมิติสูงที่ซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาพันธุศาสตร์และชีวสารสนเทศศาสตร์ ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องมากขึ้นภายใต้โครงสร้างทางชีวภาพหรือเครือข่ายที่ซับซ้อน</p>
2024-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258302
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ซุปไหมข้าวโพดพร้อมรับประทานสำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
2024-09-17T10:25:25+07:00
ชนิตา อินทาทอง
chanita.inthathong@gmail.com
รุ้งดาว กลิ่นจะโป๊ะ
patchaneeysr@au.edu
สมัชชา กรุงแก้ว
patchaneeysr@au.edu
วทันยา ไชยสายัณท์
patchaneeysr@au.edu
อทิตยา ตันธรรศกุล
patchaneeysr@au.edu
พัชนีย์ ยะสุรินทร์
patchaneeysr@au.edu
<p>งานวิจัยนี้เป็นการพัฒนาซุปไหมข้าวโพดพร้อมรับประทานสำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาภาวะขาดโภชนาการของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอื่น ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาในการเคี้ยว การกลืน และการได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอของผู้สูงอายุ โดยผลิตภัณฑ์ซุปไหมข้าวโพดพร้อมรับประทานมีวัตถุดิบหลักและอุดมไปด้วยสารอาหารครบ 5 หมู่ ได้แก่ ใยอาหารจากไหมข้าวโพด คาร์โบไฮเดรตจากข้าวโอ๊ต โปรตีนข้าวกล้องและข้าวกล้องงอก ไขมันจากเนย ผงปรุงรสผัก ผงหัวหอม และพริกไทยบด วัตถุประสงค์หลักของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ซุปไหมข้าวโพดพร้อมทาน ได้แก่ การหาปริมาณสัดส่วนที่เหมาะสมของไหมข้าวโพดที่ควรใช้ในสูตร (5%, 10%, 15%) และผงโปรตีนข้าวกล้อง (2%, 4%) และเพื่อศึกษาการยืดอายุการเก็บรักษา ผลิตภัณฑ์ซุปไหมข้าวโพดผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยเครื่องนึ่งฆ่าเชื้อ (Autoclave) ที่อุณหภูมิ 121°C ในเวลาต่างกัน ได้แก่ 15, 20, 25 นาที เพื่อศึกษาระยะเวลาและอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการฆ่าเชื้อและสังเกตการตกตะกอนของซุปไหมข้าวโพด นอกจากนี้คุณค่าทางโภชนาการถูกวิเคราะห์โดยใช้วิธี AOAC International 2023 คุณสมบัติทางกายภาพของผลิตภัณฑ์ เช่น ค่าความเป็นกรด-ด่าง ความหนืด และสีโดยผลิตภัณฑ์ได้รับการทดสอบโดยใช้เครื่องวัดค่าความเป็นกรด-ด่าง (In-house Method WI-TMC-109) การใช้มาตรฐานอาหารสําหรับผู้ป่วยกลืนลําบาก (IDDSI Testing Methods) และเครื่องวัดสี (Hunter Lab, Colorflex-45-2, USA) ตามลำดับ การตรวจวิเคราะห์คุณภาพทางจุลชีววิทยาดำเนินการทดสอบตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 355 (พ.ศ. 2556) การประเมินประสาทสัมผัสและการยอมรับจากผู้บริโภคถูกวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรม SPSS เวอร์ชั่น 29 จากผลการวิจัยพบว่า สภาวะการทำให้ปลอดเชื้อที่เหมาะสมที่สุด คือ 119°C เป็นเวลา 20 นาที โดยการฆ่าเชื้อด้วยระบบรีทอร์ท (Retort Sterilizer) ซึ่งให้เนื้อสัมผัสที่ดีที่สุดโดยอุณหภูมิและระยะเวลาดังกล่าวช่วยป้องกันการแตกตัวของโปรตีนและการเกิดเจล ซึ่งส่งผลต่อรสสัมผัสของผลิตภัณฑ์ โดยสูตรที่ได้รับความนิยมสูงสุดประกอบด้วยสูตรที่มีไหมข้าวโพด 15% และผงโปรตีนข้าวกล้อง 4% โดยได้รับคะแนนความชอบโดยรวม 7.79 ±1.01 โดยซุปไหมข้าวโพดให้พลังงาน 100 กิโลแคลอรีต่อหนึ่งหน่วยบริโภค (130 กรัม) มีน้ำตาลต่ำ (น้อยกว่า 1 กรัม) และคอเลสเตอรอลต่ำ (5 กรัม) ซึ่งเหมาะสำหรับผู้สูงอายุ นอกจากนี้ซุปไหมข้าวโพดพร้อมรับประทานถูกจัดอยู่ในระดับความหนืดปานกลาง (Level 3) ตามเกณฑ์ IDDSI และผลิตภัณฑ์นี้ยังได้รับการยืนยันว่าปลอดภัยจากเชื้อก่อโรค นวัตกรรมนี้ยังสนับสนุนเกษตรกรไทยโดยการสร้างมูลค่าเพิ่มจากส่วนประกอบข้าวโพดที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าและมีส่วนช่วยในการพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน</p>
2024-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256587
การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) นวัตกรรมขจัดไขมัน FOGiATK ในพื้นที่ต้นแบบ
2024-08-05T16:16:19+07:00
สมภพ นาขวัญ
somphop.nak@ku.th
อรไท สวัสดิชัยกุล
orathai.saw@ku.th
<p>ผลงานนวัตกรรมขจัดไขมัน FOGiATK ได้ดำเนินการด้วยระเบียบวิธี การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) เป็นกระบวนการที่ใช้ในการผลิตและการกระจายความรู้เพื่อปรับปรุงขีดความสามารถและการปฏิบัติ ทำให้สามารถปรับพฤติกรรมหรือความเคยชินให้รับกับการเปลี่ยนแปลงสภาพความเป็นจริงทางสังคมผ่านทางนักวิจัย กลุ่มผู้มีส่วนร่วมและกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในพื้นที่ต้นแบบได้จริงในสิ่งแวดล้อมต้นแบบจริงซึ่งเป็นสถานที่พื้นที่กลางแจ้งโดยใช้เศษอาหารกลุ่มโปรตีนจากกิจการอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ห้องอาหาร มาใช้ใหม่ซึ่งสามารถตอบโจทย์ตาม ESG matrix และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เป้าหมายทางตรง 3 เป้า – 6, 12 และ 13) ครอบคลุมประเด็น – มลพิษทางน้ำและการบำบัดน้ำเสีย บรรลุการจัดการที่ยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป้าหมายทางอ้อม 4 เป้า – 11) การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอื่นๆ 14) ป้องกันและลดมลพิษ 15) ระบบนิเวศบนบก 17) ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในแง่ความยั่งยืน เมื่อใช้นวัตกรรม FOGiATK ในระยะเวลา 5 ปี สามารถทำให้หน่วยงานประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำบัดน้ำเสียได้ถึง 4 เท่าเทียบกับวิธีทางกายภาพ และ12 เท่าเทียบกับจุลชีพสำเร็จรูปในท้องตลาดหรือคิดเป็นเงินประหยัดได้ 144,100 และ 529,800 บาท ตามลำดับ</p>
2024-11-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/259561
ตัวแบบการโปรแกรมไม่เชิงเส้นเพื่อการวางแผนการผลิตอาหารสัตว์สำหรับเลี้ยงโคนม
2024-11-24T18:04:41+07:00
ฐิติพร พลจันทึก
rojanee.h@msu.ac.th
โรจนี หอมชาลี
rojanee.h@msu.ac.th
<p>งานวิจัยนี้เป็นการประยุกต์ใช้ตัวแบบการโปรแกรมไม่เชิงเส้นเพื่อการวางแผนการผลิตอาหารสัตว์สำหรับเลี้ยงโคนมโดยมีวัตถุประสงค์ของตัวแบบเพื่อให้กำไรโดยรวมสูงที่สุด ภายใต้เงื่อนไขเกี่ยวกับปริมาณวัตถุดิบที่จัดหาได้ คุณค่าทางโภชนาการที่ต้องการ คุณค่าทางโภชนาการที่ได้จากวัตถุดิบแต่ละชนิด ราคาวัตถุดิบ ต้นทุนการผลิต ราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ การสำรองสินค้าคงคลัง และความต้องการของลูกค้า โดยประมวลผลตัวแบบที่พัฒนาขึ้นด้วยโปรแกรม LINGO จากผลการวิจัยพบว่า สถานประกอบการกรณีศึกษาควรใช้วัตถุดิบ 10 ชนิด ที่มีสัดส่วนแตกต่างกันในการผสมอาหารสัตว์ โดยสัดส่วนวัตถุดิบที่ใช้มากที่สุด คือ กากถั่วเหลือง มันสำปะหลัง ใบกระถินป่น และรำข้าว รวมถึงผลลัพธ์เกี่ยวกับการตัดสินใจผลิตและจัดเก็บสินค้าคงคลังในแต่ละเดือนภายในรอบ 1 ปี ของการวางแผนการผลิต ทำให้สถานประกอบการกรณีศึกษามีกำไรโดยรวมสูงที่สุด 6,217,715.98 บาท ซึ่งสูงกว่ากำไรที่เกิดจากการดำเนินงานตามแนวทางเดิม 24.23% นอกจากนี้งานวิจัยยังมีการวิเคราะห์ความไวของตัวแบบโดยผันแปรค่าพารามิเตอร์ที่คาดว่าอาจมีความผันผวนในอนาคต และอาจส่งผลต่อกำไรโดยรวมและค่าของตัวแปรตัดสินใจ ซึ่งพบว่า เมื่อราคาจำหน่ายหรือปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้กำไรโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ส่วนการเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบโดยเฉพาะมันสำปะหลังและกากถั่วเหลือง จะทำให้กำไรโดยรวมลดลงอย่างมาก แต่การเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบผสมอาหารและต้นทุนการผลิต ส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อกำไรโดยรวม จากผลการวิจัยดังกล่าวจึงทำให้ได้ผลเฉลยที่สามารถนำไปวางแผนการผลิตอาหารโคนมได้อย่างเหมาะสม และนำไปสู่การตัดสินใจเกี่ยวกับสัดส่วนการผสมวัตถุดิบ ปริมาณการผลิต และปริมาณสินค้าคงคลังที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละช่วงเวลา</p>
2025-03-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258290
เทคนิคการสำรวจด้วยภาพถ่ายระยะใกล้สำหรับงานสถาปัตยกรรมไทย กรณีศึกษา มณฑปพระพุทธสิหิงค์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
2024-11-19T11:21:29+07:00
พุฒิพงศ์ สุดจำนงค์
puttipong.s@mail.rmutk.ac.th
ณรงค์ พูนพจน์มาศ
narong.p@mail.rmutk.ac.th
<p>จากปัญหาการสร้างแบบจำลองสามมิติด้วยเทคนิคการสำรวจด้วยภาพถ่ายระยะใกล้เชิงเลขของสถาปัตยกรรมไทยที่มีรายละเอียดซับซ้อนไม่สามารถใช้เพียงอุปกรณ์ชนิดใดชนิดหนึ่งได้เนื่องจากเซนเซอร์แต่ละชนิดให้มุมมองและความละเอียดที่แตกต่างกันเพื่อปรับปรุงคุณภาพของแบบจำลองสามมิติให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเทคนิคการสำรวจด้วยภาพถ่ายระยะใกล้เชิงเลขเพื่อการบูรณาการข้อมูลภาพถ่ายจากเซนเซอร์ 3 ประเภท ประกอบด้วย 1) ภาพถ่ายจาก DJI Mavic 3 Classic โดยการบินวนเป็นวงกลมรอบมณฑป (POI) ที่ระดับความสูงที่ต่างกัน 6 ระดับ 2) บันทึกข้อมูลภาพถ่ายด้วย Canon DSLR เลนส์คงที่ 20 มม. ภายในพื้นที่ส่วนพระพุทธสิหิงค์และรายละเอียดภายในมณฑป และ 3) บันทึกข้อมูลภาพถ่ายด้วยสมาร์ทโฟนในส่วนของรายละเอียดบันได การประมวลผลบล็อกลำแสงของภาพถ่ายทั้งหมด แบ่งจากเซนเซอร์ 3 ประเภท เป็น 4 บล็อกลำแสง การบูรณาการเพื่อประมวลผลบล็อกลำแสงภาพถ่ายร่วมกันด้วยเงื่อนไขการกำหนดจุดรังวัดร่วม และจุดควบคุมภาพถ่าย โดยปัจจัยการกระจายตัวของจุดรังวัดร่วมมีผลต่อการทับซ้อนและการเรียงตัวของบล็อกลำแสง ผลลัพธ์การสร้างแบบจำลองสามมิติของมณฑปพระพุทธสิหิงค์ที่สร้างมีสีพื้นผิว รูปร่าง ตำแหน่งของวัตถุ มีความแม่นยำและรายละเอียดสมบูรณ์ แสดงให้เห็นว่าการบูรณาการเซนเซอร์สามารถปรับปรุงข้อจำกัดของการใช้เซนเซอร์เพียง 1 ชนิดซึ่งเหมาะสมสำหรับงานทางสถาปัตยกรรมไทย</p>
2025-01-10T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/260575
การใช้เทคโนโลยีพลาสมาเย็นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตายของเซลล์กลัยโอบลาสโตมา
2025-03-31T13:14:44+07:00
ประกายกานต์ วิชิตธนบดี
prakaykan_wi@cmu.ac.th
คมกฤต เล็กสกุล
komgrit.lek@cmu.ac.th
ณัฏฐ์ปภาณ ยาวุฒิ
Natpaphan.yawut@cmu.ac.th
นรพนธ์ วิเชียรสาร
norrapon.v@cmu.ac.th
ธีรวรรณ บุญญวรรณ
dheerawan.b@cmu.ac.th
<p>เนื่องจากในปัจจุบันมะเร็งสมองชนิดร้ายแรงเป็นมะเร็งที่มีความรุนแรงสูงและรักษาได้ยาก พบมากถึงร้อยละ 45 ของมะเร็งสมองทั้งหมด ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีความประสงค์ทำการศึกษาหาแนวทางให้การรักษามะเร็งสมองชนิดร้ายแรง โดยงานวิจัยนี้มุ่งเน้นศึกษาการใช้พลาสมาเย็นเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งสมองชนิดกลัยโอบลาสโตมา โดยใช้เครื่องพลาสมาเจ็ทรุ่นไนติงเกล ทำการออกแบบการทดลองแบบแฟกทอเรียลเต็ม ศึกษาปัจจัย 4 ปัจจัย ได้แก่ ระดับความเข้มพลาสมา อัตราการไหลของอากาศ ระยะห่างระหว่างอิเล็กโทรดกับผิวของมีเดีย และเวลาในการดิสชาร์จพลาสมา ผลการทดลองพบว่า พลาสมาเย็นสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งได้สูงสุด 49.91% ภายใต้เงื่อนไขที่ดีที่สุด ระดับความเข้มพลาสมา 0.62 วัตต์ อัตราการไหลของอากาศ 3 ลิตร/นาที ระยะห่างระหว่างอิเล็กโทรดกับผิวของมีเดีย 2 เซนติเมตร และเวลา 210 วินาที จำนวนการตายของเซลล์ถูกตรวจวัดด้วยวิธีการย้อมสีไทรแพนบลู และทำการศึกษาสัณฐานวิทยาของเซลล์ด้วยการย้อมสารเรืองแสง (โพรพิดิอุมไอโอไดด์และโฮชสต์ 33342) และจากการทดลองในโครงร่าง 3 มิติ แสดงผลการกำจัดเซลล์มะเร็งได้สูงสุด 23.00% อย่างไรก็ตาม พลาสมาเย็นมีศักยภาพในการสร้างอนุมูลอิสระของออกซิเจนและไนโตรเจนที่ส่งผลต่อการตายของเซลล์มะเร็ง งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาเย็นเป็นวิธีการรักษามะเร็งสมองในอนาคต แต่ยังจำเป็นต้องศึกษาขั้นสูงเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและการใช้งานในระดับคลินิกต่อไป</p>
2025-05-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256436
การปรับปรุงคุณภาพดินลูกรังด้วยเถ้าปาล์มน้ำมัน หินฝุ่น และปูนซีเมนต์ เพื่อพัฒนาวัสดุชั้นทาง
2024-08-06T15:43:16+07:00
พงศ์ภูมิ ศรชมแก้ว
Phattharachai.p@rmutp.ac.th
ดารกร อินทรบุตร
Phattharachai.p@rmutp.ac.th
ภัทรชัย พงศ์โสภา
phattharachai.p@rmutp.ac.th
<p>น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตไบโอดีเซล ซึ่งกำลังกลายเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญอย่างรวดเร็วเนื่องจากมีพลังงานศักย์สูงและลดการปนเปื้อนต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันปิโตรเลียม การส่งเสริมไบโอดีเซลมีประโยชน์ตรงที่ช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันปิโตรเลียมและช่วยในการจัดการต้นทุนพลังงาน นอกจากนี้การผลิตไบโอดีเซลยังสร้างของเสียจากน้ำมันปาล์ม รวมถึงพวงผลไม้ที่ว่างเปล่า เส้นใย และเปลือกเมล็ดปาล์ม ซึ่งจะถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับการผลิตไฟฟ้า ส่งผลให้เกิดเถ้าจากน้ำมันปาล์มเป็นผลิตภัณฑ์พลอยได้ทางอุตสาหกรรม การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะทางกายภาพและวิศวกรรมของดินลูกรังที่ผสมกับฝุ่นหิน ขยะน้ำมันปาล์มจากการใช้งานในอุตสาหกรรม และปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภท 1 ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน การศึกษานี้ใช้ตัวอย่างที่ผสมกับเถ้าปาล์มน้ำมันในสัดส่วนที่แตกต่างกัน คือ 0% 1.25% 3.75% และ 5% ตามลำดับ ปริมาณหินฝุ่น 16% และ 18% และปริมาณปูนซีเมนต์ 6% และ 8% จากการทดสอบทางกายภาพพบว่า ขีดจำกัดเหลว ขีดจำกัดพลาสติก และขีดจำกัดการหดตัวมีค่าเพิ่มขึ้นตามปริมาณของเถ้าปาล์มน้ำมัน ในงานวิจัยนี้ได้ใช้การทดสอบการบดอัดแบบสูงกว่ามาตรฐานและการทดสอบกำลังอัดแกนเดียว จากการทดสอบการบดอัดพบว่าค่าหน่วยน้ำหนักแห้งสูงสุดมีค่าลดลงตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณเถ้าปาล์มน้ำมัน ปริมาณหินฝุ่น และปริมาณปูนซีเมนต์ ปริมาณความชื้นที่เหมาะสมมีค่าเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของเถ้าปาล์มน้ำมัน หินฝุ่น และปูนซีเมนต์ ผลการทดสอบกำลังอัดแกนเดียวของแต่ละอัตราส่วน โดยมีอัตราส่วนผสมของหินฝุ่น ปูนซีเมนต์ และเถ้าปาล์มน้ำมันในปริมาณที่เหมาะสมจะสามารถทำให้รับกำลังได้สูง แต่ในกรณีที่มีเถ้าปาล์มน้ำมันที่มากเกินไปอาจจะส่งผลต่อค่าการรับกำลังอัดทำให้การรับกำลังอัดนั้นมีค่าลดลง</p>
2024-11-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258575
การศึกษาประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศราคาประหยัดที่ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์และแผ่นกรองใช้ซ้ำในการปรับปรุงคุณภาพอากาศ
2024-11-21T09:27:07+07:00
วิศววิท ราชณรงค์
vissavavit@gmail.com
สรรพสิทธิ์ ทองมี
vissavavit@gmail.com
ศวัสกร ไชยสุนทร
vissavavit@gmail.com
<p>บทความนี้ได้นำเสนอการศึกษาปริมาณ PM2.5 PM10 และปริมาณสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (TVOC) ที่ถูกขจัดโดยเครื่องฟอกอากาศราคาประหยัดที่ประดิษฐ์ขึ้น (LCAP) ซึ่งทำการเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการกรอง และอัตราการส่งอากาศบริสุทธิ์ (CADR) จากแผ่นกรองปกติและแผ่นกรองที่นำกลับมาใช้ใหม่ของ LCAP กับเครื่องฟอกอากาศที่นิยมใช้งาน 2 แบบ (AP_1 และ AP_2) ในห้องทดสอบขนาด 126 ลบ.ม. ผลการทดสอบของ LCAP ที่ใช้แผ่นกรองแบบ Anti-bacteria ปกติ (LCAP_B) พบว่า สามารถขจัด PM2.5 และ PM10 ได้ใกล้เคียงกับ AP_2 แต่แผ่นกรองแบบ Formaldehyde (LCAP_F) นั้นสามารถขจัด TVOC ได้ดีกว่า AP_2 โดย LCAP_B สามารถขจัด PM2.5 และ PM10 จากระดับคุณภาพอากาศที่เป็นอันตราย (ประมาณ 700 ไมโครกรัม/ลบ.ม.) ให้อยู่ในระดับที่ดีมากได้ในระยะเวลา 82 และ 62 นาที ตามลำดับ สำหรับการนำแผ่นกรองกลับมาใช้ใหม่ของเครื่องฟอกอากาศราคาประหยัดสามารถขจัด PM2.5 PM10 และ TVOC ได้ดีกว่า AP_2 พบว่า แผ่นกรองที่ทำความสะอาดด้วยเครื่องดูดฝุ่นและเครื่องเป่าลม (LCAP_BCV) สามารถขจัด PM2.5 PM10 และ TVOC ได้ดีกว่าแผ่นกรองที่สกปรก (LCAP_BD) เพียงเล็กน้อยประมาณ 0.38% 0.34% และ 1.79% ตามลำดับ แผ่นกรองที่ทำความสะอาดด้วยผงซักฟอก (LCAP_BCD) สามารถขจัด TVOC ได้ดีกว่า LCAP_BD และ LCAP_B ประมาณ 26.44% และ 21.01% ตามลำดับ แต่ LCAP_BCD สามารถขจัด PM2.5 และ PM10 ได้ต่ำกว่า LCAP_BD ประมาณ 5.96% และ 5.73% ตามลำดับ และการทำงานร่วมกันของ LCAP สามเครื่อง (LCAP_T) สามารถขจัด PM2.5 และ PM10 ให้อยู่ในระดับคุณภาพอากาศที่ดีมากได้ในระยะเวลา 36 และ 28 นาที ตามลำดับ ข้อดีของ LCAP ที่ดีกว่า AP_1 และ AP_2 คือ มีแบตเตอรี่ภายในตัว และทำงานร่วมกันแบบ Master-Slave โดย LCAP-Slave นั้นไม่จำเป็นต้องมีเซ็นเซอร์ตรวจจับมลพิษ</p>
2025-03-12T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256153
การศึกษาอิทธิพลของตัวแปรการเจียระไนที่มีผลต่อความแข็งและโครงสร้างของผิวชิ้นงานที่ผ่านการตีขึ้นรูปร้อน
2024-09-03T13:55:00+07:00
อนัส เฉลิมศิลป์
anas.chal@kmutt.ac.th
สุรศักดิ์ สุรนันทชัย
surasak.sur@kmutt.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาตัวแปรที่มีอิทธิพลในกระบวนการเจียระไนแบบสายพานที่ส่งผลกระทบต่อความแข็งผิววัสดุโลหะเหล็กเกรด S45C ที่ผ่านการตีขึ้นรูปร้อนและผ่านการอบชุบทางความร้อน โดยใช้การออกแบบการทดลองเพื่อหาปัจจัยที่มีนัยสำคัญ ปัจจัยที่นำมา 4 ปัจจัย ขนาดพื้นที่หน้าตัดชิ้นงานแรงกดชิ้นงานจากการถ่วงน้ำหนักดันป้อนชิ้นงานช่วงระยะเวลาในการเจียระไน และสภาพของผ้าทรายสายพานรวมถึงขนาดเบอร์ของผ้าทรายสายพาน จากค่าความแข็งผิวชิ้นงานที่ตรวจสอบก่อนการทดลองอยู่ระหว่าง 20–26 HRC ผลจากการทดลองพบว่า ค่าความแข็งผิวชิ้นงานที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมเพิ่มมากขึ้นเกิน 26 HRC จากผลกระทบปัจจัยที่มีนัยสำคัญทั้งหมด 3 ปัจจัย นำสู่การวิเคราะห์หาตัวแปรที่ส่งผลกระทบต่อความแข็งผิววัสดุ ได้รับอิทธิพลจากผ้าทรายสายพานที่สึกหรอจนหมดสภาพการตัดเฉือนผิววัสดุส่งผลกระทบให้วัสดุได้รับความเค้น ซึ่งความเค้นนั้นมีความสัมพันธ์กับความแข็งผิววัสดุ</p>
2024-11-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/257903
การออกแบบและพัฒนาระบบอัจฉริยะสำหรับตรวจจับท่านอนบนเตียงของผู้ป่วยสูงอายุ
2024-09-10T08:48:13+07:00
สุเมธ อ่ำชิต
sumet.u@sci.kmutnb.ac.th
จุฑามาศ กล่ำเอม
sumet.u@sci.kmutnb.ac.th
<p>การพลัดตกหกล้มจากเตียงเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุทั่วโลก ส่งผลกระทบให้เกิดการบาดเจ็บและต้องอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่น เช่น แผลกดทับ ดังนั้นการเฝ้าระวังท่านอนของผู้สูงอายุจึงมีความสำคัญ เนื่องจากช่วยป้องกันและเตือนภัยการพลัดตกหกล้มจากเตียงได้ วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้ คือ การออกแบบและพัฒนาระบบอัจฉริยะที่ตรวจจับรูปแบบการนอนหลับแบบตามเวลาจริง โดยใช้เซ็นเซอร์แรงกด 10 ตัว ที่ติดตั้งบนที่นอน โดยระบบสามารถตรวจจับท่านอนได้ 8 สถานะ ได้แก่ ตกเตียง นอนหงาย นอนตะแคงซ้าย นอนตะแคงขวายกตัวนั่งบนเตียง นั่งห้อยขาลงจากด้านซ้ายของเตียง และนั่งห้อยขาลงจากด้านขวาของเตียง นอกจากนี้ ยังใช้เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิและความชื้นในการตรวจสอบสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ข้อมูลจะถูกประมวลผลโดยไมโครคอนโทรลเลอร์ที่ส่งการแจ้งเตือนผ่านโมดูล Wi-Fi ไปยังเซิร์ฟเวอร์บนคอมพิวเตอร์และแจ้งเตือนผู้ดูแลผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ ประสิทธิภาพของระบบเตียงที่พัฒนาขึ้นได้ถูกทดสอบกับตัวอย่าง 4 คน แต่ละคนมีท่านอนทั้ง 8 สถานะ ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าระบบสามารถตรวจจับสถานะตำแหน่งท่านอนดังนี้ ท่าไม่อยู่บนเตียง ท่านั่งบนเตียง และท่านั่งห้อยขาลงจากด้านซ้ายของเตียงด้วยความแม่นยำ 100% อีกทั้ง ผลทดสอบมีความแม่นยำ 91.67% สำหรับท่านอนหงายและท่านอนตะแคงซ้าย มีความแม่นยำ 75.00% สำหรับท่านอนตะแคงขวา มีความแม่นยำ 66.67% สำหรับท่านั่งห้อยขาลงจากด้านขวาของเตียงและท่านั่งยกตัวขึ้นจากเตียง และระบบสามารถแจ้งเตือนท่านอนเดิมทุก 2 ชั่วโมง ได้อย่างถูกต้อง</p>
2024-11-18T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/258343
ผลกระทบของความชื้นต่อสมรรถนะและคุณภาพของเชื้อเพลิงอัดเม็ดจากชานอ้อย
2024-09-24T08:57:16+07:00
กันตภณ เปรมประยูร
chanin9398@gmail.com
วีรยุทธ จี้เพชร
chanin9398@gmail.com
วิริยะ แดงทน
chanin9398@gmail.com
ภาคิไนย์ ภูพวกเดชา
chanin9398@gmail.com
สุกัญญา ทองโยธี
chanin9398@gmail.com
ชนินทร์ อุปถัมภ์
chanin9398@gmail.com
วสันต์ ด้วงคำจันทร์
chanin9398@gmail.com
<p>การศึกษานี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์ผลกระทบของระดับความชื้นที่แตกต่างกัน (10 15 และ 20 เปอร์เซ็นต์) ต่อสมรรถนะและคุณภาพของเชื้อเพลิงอัดเม็ดจากชานอ้อยคั้นน้ำ ซึ่งเป็นวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรที่มีศักยภาพในการนำไปแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า การทดลองพบว่า ระดับความชื้น 15 เปอร์เซ็นต์ เป็นค่าที่เหมาะสมที่สุดในการผลิตเม็ดเชื้อเพลิง โดยให้กำลังการผลิตสูงสุดที่ 70.65 กิโลกรัมต่อชั่วโมง คุณสมบัติของเม็ดเชื้อเพลิงในระดับความชื้นดังกล่าวมีความคงทนสูงที่สุด (98.25 ±0.41 เปอร์เซ็นต์) และค่าความร้อน (16.11 ±0.06 เมกะจูล/กก.) ที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน นอกจากนี้ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางและความยาวของเม็ดเชื้อเพลิงเป็นไปตามมาตรฐาน ในขณะที่ความหนาแน่นรวมอยู่ในช่วง 535.00–575.88 กก./ลบ.ม. ซึ่งยังต่ำกว่าค่ามาตรฐานทุกค่าที่กำหนดโดย มอก. 2772–2560 ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับปรุงอุปกรณ์การผลิต ระดับความชื้น 20 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้สมรรถนะการอัดเม็ดลดลงอย่างชัดเจน และค่าความคงทนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการวัตถุดิบ เช่น การควบคุมความชื้นและการเตรียมวัสดุอย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่มคุณภาพของเม็ดเชื้อเพลิงและประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต งานวิจัยนี้สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดในระดับอุตสาหกรรม เช่น การปรับปรุงเครื่องจักร กระบวนการจัดเก็บ และการขนส่ง ตลอดจนการสร้างฐานข้อมูลเพื่อสนับสนุนการจัดการวัสดุเหลือใช้ในอุตสาหกรรมน้ำอ้อยให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนในอนาคต</p>
2025-01-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/254747
สมรรถนะการรับแรงเฉือนทะลุของแผ่นพื้นคอนกรีตผสมมวลรวมจากเศษคอนกรีตย่อยเสริมแรงด้วยแผ่นเหล็กบางซิกแซก
2024-04-17T15:14:43+07:00
ประภัสสร ฤทธิกรรณ์
prapatsorn.ri@mail.wu.ac.th
อลงกรณ์ ประชุมรัตน์
thanongsak_im@wu.ac.th
ทยากร บุญแก้ว
thanongsak_im@wu.ac.th
อาดัม เจ๊ะหะ
thanongsak_im@wu.ac.th
ภัคจิรา อ่อซ้าย
thanongsak_im@wu.ac.th
ทนงศักดิ์ อิ่มใจ
thanongsak_im@wu.ac.th
<p>เนื่องด้วยปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นจากการก่อสร้างและการรื้อถอนของเสีย การวิจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของมวลรวมหยาบรีไซเคิล (RCA) และคอนกรีตมวลรวมรีไซเคิล (RAC) ได้รับการศึกษามานานหลายทศวรรษ ซึ่งผลที่ออกมาค่อนข้างมีความแปรปรวน เนื่องจากคุณภาพของ RCA ที่ใช้แตกต่างกัน แต่ผลทดสอบส่วนใหญ่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้และศักยภาพของ RCA ที่สามารถใช้แทนหินธรรมชาติได้ทำให้กำลังที่ได้เป็นไปตามมาตรฐานการออกแบบของ ACI 318 บทความนี้นำเสนอการศึกษาทดลองของแผ่นพื้นที่รวม RCA 100% แผ่นพื้น RAC มีการควบคุมขนาด 1,200 × 1,200 × 12 มิลลิเมตร ได้รับการทดสอบแบบการให้น้ำหนักบริเวณที่กึ่งกลางของแผ่นพื้นคอนกรีตโดยมีฐานรองรับ8 จุด ผลการทดสอบพบว่า แรงเฉือนเจาะทะลุของแผ่นพื้น RAC ตัวควบคุมรับน้ำหนักได้น้อยกว่าตัวที่เสริมกำลังด้วยแผ่นเหล็กบางแบบซิกแซก แผ่นที่ทดสอบภายใต้แรงเฉือนทะลุกระแทก และการทำนายโดย Eurocode ให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำยิ่งขึ้นและเป็นการเปลี่ยนคอนกรีตมวลรวมรีไซเคิลทุกระดับและการเสริมแรงดัดต่ำ</p>
2024-11-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/257956
อิทธิพลของการอบแห้งลมร้อนร่วมกับระบบสั่นสะเทือนอัลตร้าโซนิกต่อการใช้พลังงานและสารสำคัญในการอบแห้งกระชายขาว
2024-08-20T16:54:41+07:00
ปฏิพัทธิ์ ถนอมพงษ์ชาติ
p.pintana@gmail.com
วีรศักดิ์ จอมกิติชัย
p.pintana@gmail.com
ภคมน ปินตานา
p.pintana@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการอบแห้งลมร้อนร่วมกับระบบสั่นสะเทือนอัลตร้าโซนิกในการอบแห้งกระชายขาวที่มีต่อปริมาณการใช้พลังงานและคุณสมบัติของกระชายขาวหลังการอบแห้ง โดยใช้ตู้อบแห้งลมร้อนร่วมกับระบบสั่นสะเทือนอัลตร้าโซนิก ซึ่งติดตั้งระบบสั่นสะเทือนอัลตร้าโซนิก 40 กิโลเฮิรตซ์ ที่ถาดวางผลิตภัณฑ์ โดยมีระบบระบายความร้อนให้กับหัวสั่นสะเทือนเพื่อลดการสะสมความร้อนของชุดสั่นสะเทือน ทำให้สามารถอบแห้งที่อุณหภูมิสูงขึ้นได้ ตัวอย่างที่ใช้ในการทดลอง คือ กระชายขาวซึ่งเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณด้านการรักษาโรคและมีสารสำคัญภายในหลายชนิด โดยการทดลองทดสอบการอบแห้งที่อุณหภูมิ 50 60 และ 70 องศาเซลเซียส ด้วยตู้อบแห้งลมร้อนและตู้อบแห้งลมร้อนร่วมกับระบบสั่นสะเทือนอัลตร้าโซนิก เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการอบแห้งผลการทดลองพบว่า ตู้อบแห้งลมร้อนร่วมกับระบบสั่นสะเทือนอัลตร้าโซนิกใช้เวลาในการอบแห้งกระชายขาวมีอัตราการระเหยน้ำ และประสิทธิภาพการอบแห้งสูงกว่าตู้อบแห้งลมร้อนในทุกช่วงอุณหภูมิการอบแห้ง อีกทั้งที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส มีการใช้พลังงานจำเพาะในการอบแห้งผลิตภัณฑ์ต่ำที่สุด พร้อมวิเคราะห์เปรียบเทียบสีผลิตภัณฑ์ ค่าการต้านอนุมูลอิสระ ค่าฟีนอลิก ฟลาโวนอยด์ พินอสตรอบิน และ แพนดูเรทิน เอ โดยสภาวะที่เหมาะสมที่สุดในการรักษาสาระสำคัญในกระชายขาวแห้งได้ในปริมาณสูงที่สุดคือการอบแห้งที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส ร่วมกับระบบสั่นสะเทือนอัลตร้าโซนิก โดยมีอัตราการระเหยน้ำ ประสิทธิภาพทางความร้อนในการอบแห้ง และการใช้พลังงานจำเพาะในการอบแห้ง 0.250 กิโลกรัม/ชั่วโมง 20.72 เปอร์เซ็นต์ และ 29.960 กิโลวัตต์ชั่วโมง/กิโลกรัม ตามลำดับ</p>
2024-11-18T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256884
การออกแบบผังและวิเคราะห์ตำแหน่งจัดวางสินค้าอุปโภคบริโภคที่พิจารณาลักษณะความต้องการใช้สินค้าระหว่างหมวดทั่วไปและหมวดกลุ่มสินค้ามีความสัมพันธ์กันทั้งภายในและระหว่างกลุ่ม
2024-07-05T15:27:00+07:00
รัฐประศาสน์ รักบางแหลม
ratthaprasa.rak@stu.nida.ac.th
อัครนันท์ พงศธรวิวัฒน์
akkaranangroup@gmail.com
<p>ผังจัดวางสินค้าและตำแหน่งจัดวางสินค้าเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดระยะทางเดินหยิบสินค้าที่ไม่จำเป็นลงคลังจัดเก็บสินค้าอุปโภคบริโภคนั้น นอกจากการพิจารณาตำแหน่งที่เหมาะสมด้วยประมาณความถี่ในการหยิบสินค้าแล้ว การพิจารณาลักษณะความสัมพันธ์ความต้องการใช้สินค้าร่วมกันระหว่างหมวดทั่วไปและหมวดกลุ่มสินค้าเป็นอีกปัญหาที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการหยิบสินค้า งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ตำแหน่งจัดวางที่เหมาะสมด้วยการพิจารณาลักษณะความสัมพันธ์ความต้องการใช้สินค้าร่วมกันระหว่างภายในและระหว่างหมวดทั่วไปและหมวดกลุ่มสินค้า ข้อมูลกรณีศึกษามีสินค้าตามหมวดกลุ่มสินค้า จำนวน 366 SKUs และสินค้าหมวดทั่วไปที่ใช้ร่วมกับกลุ่มสินค้าอื่น จำนวน 81 SKUs ตัวแบบที่วิเคราะห์ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน 1) วิเคราะห์ระดับของความสัมพันธ์ของความต้องการใช้ระหว่างสินค้าหมวดทั่วไปกับสินค้าตามหมวดกลุ่มสินค้าทั้งรูปแบบความต้องการภายในและระหว่างกลุ่มสินค้าด้วยกฎความสัมพันธ์ แล้วแบ่งกลุ่มของสินค้าที่มีความสัมพันธ์ด้วยเกณฑ์ความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้น 2) ออกแบบและวิเคราะห์ตำแหน่งจัดวางสินค้าทั้งกลุ่มสินค้าที่มีความสัมพันธ์และไม่มีความสัมพันธ์ด้วยตัวแบบคณิตศาสตร์เชิงเส้น ผลจากการทดลองและเปรียบเทียบตัวแบบด้วยรายการหยิบสินค้าจำนวน 10 รายการ พบว่า ตัวแบบผังจัดวางและกำหนดตำแหน่งแบบอิงความสัมพันธ์ทั้งภายในและระหว่างกลุ่มสินค้า (Relation Based Inter- and Intra-product Groups) เป็นตัวแบบที่ดีที่สุด เพราะสามารถช่วยลดระยะทางการเดินหยิบสินค้าโดยเฉลี่ยรวมลงได้จาก 11,897.6 เหลือ 3,996.4 เมตร หรือคิดเป็น 66.41%</p>
2024-12-02T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/259951
การพัฒนารูปแบบศักยภาพของวิศวกรซอฟต์แวร์ในกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลเพื่อการแข่งขันในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
2024-12-13T14:05:57+07:00
ธีระปกรณ์ ธีระภัทรปกรณ์
tee.teerapakorn@gmail.com
ธีรวัช บุณยโสภณ
tee.teerapakorn@gmail.com
สมนึก วิสุทธิแพทย์
tee.teerapakorn@gmail.com
ธีรวุฒิ บุณยโสภณ
tee.teerapakorn@gmail.com
<p>เทคโนโลยีดิจิทัลกำลังพลิกผันสังคมมนุษย์ให้เข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ส่งผลให้องค์กรธุรกิจจะต้องใช้วิศวกรซอฟต์แวร์เข้ามาเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจขององค์กรให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แต่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนวิศวกรซอฟต์แวร์ที่มีศักยภาพในตลาดแรงงาน องค์กรธุรกิจจึงต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพวิศวกรซอฟต์แวร์ให้เป็นผู้ผลักดันและขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย การวิจัยในครั้งนี้จึงมุ่งศึกษาองค์ประกอบศักยภาพที่จำเป็นของวิศวกรซอฟต์แวร์ในการทำงานเพื่อสร้างศักยภาพให้แก่องค์กรธุรกิจในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อให้องค์กรธุรกิจมีรูปแบบการพัฒนาศักยภาพของวิศวกรซอฟต์แวร์ที่ถูกต้องและเหมาะสมในการนำไปใช้ในทางปฏิบัติ โดยการวิจัยใช้เทคนิคเดลฟายและการประชุมสนทนากลุ่ม เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบศักยภาพที่วิศวกรซอฟต์แวร์จำเป็นจะต้องมีในการทำงาน และจัดทำรูปแบบศักยภาพของวิศวกรซอฟต์แวร์ในกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลเพื่อการแข่งขันในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบศักยภาพที่ผ่านเกณฑ์ฉันทามติของการวิจัยด้วยเทคนิคเดลฟายเป็นองค์ประกอบด้านความรู้จำนวน 11 องค์ประกอบ คิดเป็นร้อยละ 15.71 องค์ประกอบด้านทักษะจำนวน 21 องค์ประกอบ คิดเป็นร้อยละ 30.00 องค์ประกอบด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ 24 องค์ประกอบ คิดเป็นร้อยละ 34.28 และองค์ประกอบที่ผ่านเกณฑ์ฉันทามติมาพัฒนาเป็นรูปแบบศักยภาพของวิศวกรซอฟต์แวร์ ซึ่งองค์ประกอบด้านความรู้ ประกอบด้วย ความรู้เกี่ยวกับโค้ดและการประมวลผล ความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือในการพัฒนาซอฟต์แวร์ ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ ความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของซอฟต์แวร์ ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ และความรู้เกี่ยวกับการพัฒนานวัตกรรม ส่วนองค์ประกอบด้านทักษะประกอบด้วยทักษะในการพัฒนาซอฟต์แวร์ ทักษะในการออกแบบซอฟต์แวร์ ทักษะด้านกระบวนการคิด ทักษะด้านการจัดการ ทักษะด้านการสื่อสาร และทักษะภาษาอังกฤษ และในองค์ประกอบด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ประกอบด้วยความรับผิดชอบในงาน พฤติกรรมที่ส่งเสริมความสำเร็จในการทำงาน การพัฒนาตนเอง การทำงานเป็นทีม ความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม และความเป็นผู้นำ</p>
2025-04-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/260120
การพัฒนารูปแบบศักยภาพนายด่านศุลกากรเพื่อการบริหารงานในยุคดิจิทัล
2025-01-03T08:16:17+07:00
นัยรัตน์ พงศ์ศักดินนท์
naiyarat.pong@gmail.com
สุชาติ เซี่ยงฉิน
suchart.s.pe@tggs-bangkok.org
ธีรวุฒิ บุณยโสภณ
vhd@kmutnb.ac.th
ธีรวัช บุณยโสภณ
teerawat.b@cit.kmutnb.ac.th
<p>ในยุคที่สังคมโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและฉับพลัน หรือที่เรียกว่า โลกยุควูก้า (VUCA World) องค์กรต่าง ๆ ต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ก้าวหน้าทันสมัย ส่งผลให้นายด่านศุลกากรต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นในการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบศักยภาพนายด่านศุลกากรในยุคดิจิทัล โดยใช้เทคนิคเดลฟายดำเนินการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญงานด่านฯ 21 ท่าน ผลการวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่ทั้งด้านศักยภาพนายด่านฯ และด้านกระบวนการบริหารจัดการของนายด่านฯ มีค่าระดับความสำคัญ (Mdn) อยู่ที่ 4.00–5.00 คือ ความสำคัญมากถึงมากที่สุด และระดับความสอดคล้อง (IQR) อยู่ที่ 0.0–1.0 คือ มีความสอดคล้องสูงถึงสูงมาก และสามารถนำผลที่ได้มาจัดกลุ่มองค์ประกอบเพื่อจัดทำรูปแบบศักยภาพนายด่านฯ พบว่า ประกอบด้วย 3 มิติ 4 องค์ประกอบหลัก 20 องค์ประกอบรอง ซึ่งแต่ละองค์ประกอบหลัก มี 5 องค์ประกอบรอง ดังนี้ 1) ความรู้ของนายด่านฯ ได้แก่ เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม งานศุลกากรและกฎหมาย การบริหารจัดการองค์กร นโยบายและยุทธศาสตร์ และการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 2) ทักษะของนายด่านฯ ได้แก่ การบริหารจัดการ การคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจ การสื่อสารและประสานงานผู้นำและการสอนงาน และเทคโนโลยีดิจิทัล 3) คุณลักษณะที่พึงประสงค์ ได้แก่ ภาวะผู้นํา จริยธรรมและความประพฤติการพัฒนาตนเอง ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม และมนุษยสัมพันธ์การทำงานร่วมกับผู้อื่น และ 4) กระบวนการบริหารจัดการ ได้แก่ การจัดองค์กรในยุคดิจิทัล การบริหารทรัพยากร งบประมาณและเทคโนโลยี การบังคับบัญชา การจัดการวิกฤตและความเสี่ยง และการควบคุมติดตามประเมินผล โดยคู่มือแนวทางการพัฒนา ประกอบด้วย 3 หมวดการเรียนรู้ ได้แก่ TRUST TEAM และ TECH+ รวมทั้งสิ้น 11 แนวทางที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับการบริหารองค์กรในยุคดิจิทัล</p>
2025-03-06T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/261107
ความท้าทายและกลยุทธ์ในการพัฒนากระบวนการกลั่นทางชีวภาพตามหลักเศรษฐกิจชีวภาพที่ยั่งยืน
2025-03-10T15:45:37+07:00
Pooja Ranganayaki Anand
macintous@gmail.com
อภิญญา ขาวล้วน
macintous@gmail.com
มาลินี ศรีอริยนันท์
macintous@gmail.com
<div> <p>Biorefining is the sustainable processing of natural biomass into a wide range of marketable products and energy. A biorefinery integrates various processes and technologies to convert biomass into valuable products, aligning with the zero-waste concept [1]. Over the past few decades, biorefinery processes have been at the forefront of sustainability, offering an alternative to traditional non-renewable fuel sources. As global energy reserves continue to deplete due to population growth and rising consumption, biorefineries have played a transformative role in reshaping the energy sector with sustainable solutions.</p> </div>
2025-03-10T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025