https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/issue/feed วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 2024-03-22T08:05:58+07:00 Assoc. Prof. Dr. Montree Siripruchayanun [email protected] Open Journal Systems <p><strong>วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (The Journal of King Mongkut's University of Technology North Bangkok)</strong> เป็นวารสารที่เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ อุตสาหกรรมเกษตร เทคโนโลยีสารสนเทศ สถาปัตยกรรม และวิชาการขั้นสูงที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและอุตสาหกรรม ผลงานวิชาการที่รับตีพิมพ์เป็นบทความวิจัย บทความวิชาการ และบทความบรรณาธิการปริทัศน์ที่เขียนด้วยภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ<br />วารสารพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ตีพิมพ์ทั้งรูปเล่มและออนไลน์ โดยกำหนดจัดทำปีละ 4 ฉบับ คือ</p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม–มีนาคม</li> <li>ฉบับที่ 2 เดือนเมษายน–มิถุนายน</li> <li>ฉบับที่ 3 เดือนกรกฎาคม–กันยายน</li> <li>ฉบับที่ 4 เดือนตุลาคม–ธันวาคม</li> </ul> <p>วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เป็นวารสารที่จัดอยู่ในฐานข้อมูลดังนี้</p> <ul> <li>เป็นวารสารที่อยู่ในฐานข้อมูล ASEAN Citation Index (ACI)</li> <li>เป็นวารสารที่อยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารไทย (TCI) กลุ่มที่ 1 ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี</li> <li>สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ยอมรับให้เป็นวารสารระดับชาติและเป็นวารสารสำหรับการพิจารณาผลงานตีพิมพ์ เรื่องที่ 2 ของนักศึกษาทุน คปก. ในหลักสูตรกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก่อนสำเร็จการศึกษาปริญญาเอก</li> </ul> <p><strong>สถิติการพิจารณา</strong></p> <p>จำนวนวันเฉลี่ยในการพิจารณาเบื้องต้น : 7-10 วัน</p> <p>จำนวนวันเฉลี่ยในการรับพิจารณา-ตอบรับตีพิมพ์: 60-90 วัน</p> <p>อัตราการยอมรับตีพิมพ์ในปี 2566 : 48%</p> https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256142 ปกวารสาร มจพ. ปีที่ 34 ฉบับที่ 1 2024-03-20T15:59:51+07:00 ปกวารสาร มจพ. วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ [email protected] <p>-</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256157 บรรณาธิการวารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 2024-03-22T08:02:48+07:00 บรรณาธิการ วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ่่[email protected] <p>-</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256130 การใช้เม็ดไคโตซานดัดแปรเป็นตัวดูดซับน้ำมันหล่อเย็นชนิดผสมน้ำ 2024-03-20T14:00:46+07:00 พรพิมล จารุพนาเวช [email protected] โกวิทย์ ปิยะฆังคลา [email protected] <p>งานวิจัยนี้ศึกษาการบำบัดน้ำมันหล่อเย็นชนิดผสมน้ำด้วยกระบวนการดูดซับแบบแบตซ์ในระดับห้องปฏิบัติการ โดยได้แบ่งการทดลองออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก ศึกษาความสามารถและร้อยละการดูดซับของตัวดูดซับที่แตกต่างกัน 3 ชนิด ได้แก่ ผงไคโตซาน เม็ดไคโตซาน และเม็ดไคโตซานดัดแปร ส่วนที่สอง ศึกษาปริมาณเม็ดไคโตซานดัดแปรที่เหมาะสมสำหรับการดูดซับน้ำมันหล่อเย็นชนิดผสมน้ำ จากการศึกษาสมบัติทางเคมีด้วยการวิเคราะห์ประจุที่ผิวเป็นศูนย์ของตัวดูดซับ เพื่อตรวจสอบค่าความเป็นกรด-เบสที่ทำให้ผลรวมของประจุบนพื้นผิวตัวดูดซับเท่ากับศูนย์ สำหรับการดูดซับน้ำมันหล่อเย็นชนิดผสมน้ำที่มีค่าความเป็น-เบสเท่ากับ pH 8.90 พบว่า ผงไคโตซาน เม็ดไคโตซาน และเม็ดไคโตซานดัดแปรมีค่าประจุที่ผิวเป็นศูนย์เท่ากับ pH 8.90, 4.10 และ 1.98 ตามลำดับ การใช้ตัวดูดซับปริมาณเท่ากันที่ 2.0 กรัม และความเข้มข้นเริ่มต้นน้ำมันหล่อเย็นเท่ากับ 11,540 มิลลิกรัมต่อลิตร พบว่า เม็ดไคโตซานดัดแปรมีร้อยละการดูดซับสูงสุดเท่ากับ 100 ขณะที่ผงไคโตซาน และเม็ดไคโตซานมีร้อยละการดูดซับเท่ากับ 0 และ 19 ตามลำดับ เนื่องจาก ประจุที่ผิวของเม็ดไคโตซานดัดแปรมีโปรตอนของกรดไฮโดรคลอริกที่ใช้ในการดัดแปรมาเกาะที่ผิวของเม็ดไคโตซานดัดแปร ไอโซเทอมการดูดซับสอดคล้องกับสมการฟรุนดิช</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256131 การเตรียมและศึกษาสมบัติของถ่านชีวภาพจากเปลือกถั่วลิสงด้วยกระบวนการทอร์รีแฟกชันและไฮโดรเทอร์มอลคาร์บอไนเซชัน 2024-03-20T14:11:08+07:00 จารุณี เข็มพิลา [email protected] ภูมินทร์ คงโต [email protected] <p>งานวิจัยนี้ศึกษาการปรับสภาพเชื้อเพลิงแข็งจากเปลือกถั่วลิสงด้วยกระบวนการไฮโดรเทอร์มอลคาร์บอไนเซชัน (Hydrothermal Carbonization; HTC) ที่สภาวะน้ำกึ่งวิกฤต (175–225 องศาเซลเซียส) และกระบวนการทอร์รีแฟกชัน ในบรรยากาศไนโตรเจน (250–300 องศาเซลเซียส) ด้วยระยะเวลาในการเกิดปฏิกิริยา 30 นาที โดยวิเคราะห์องค์ประกอบแบบละเอียด ค่าความร้อนสูง อัตราส่วนอะตอม และหมู่ฟังก์ชันบนพื้นผิวของผลิตภัณฑ์แข็ง ผลการศึกษาบ่งชี้ว่าการปรับสภาพทั้ง 2 กระบวนการช่วยปรับปรุงสมบัติด้านเชื้อเพลิงของเปลือกถั่วลิสงให้สูงขึ้นคือ ปริมาณออกซิเจนมีค่าลดลง ปริมาณคาร์บอนและค่าความร้อนมีค่าสูงขึ้น กระบวนการทอร์รีแฟกชันให้ผลดีกว่ากระบวนการ HTC ในด้านปริมาณผลได้เชิงมวล ค่าความร้อนสูงของผลิตภัณฑ์จากกระบวนการ HTC ที่อุณหภูมิ 225 องศาเซลเซียส (22.86 เมกกะจูลต่อกิโลกรัม) มีค่าใกล้เคียงกับทอร์รีแฟกชันที่อุณหภูมิ 275 องศาเซลเซียส (22.78 เมกกะจูลต่อกิโลกรัม) บ่งชี้ว่าการปรับสภาพด้วยกระบวนการ HTC สามารถดำเนินการได้ที่อุณหูมิต่ำกว่าทอร์รีแฟกชันเพื่อให้ได้ค่าความร้อนที่เท่ากัน การปรับสภาพทั้งสองวิธีทำให้อัตราส่วนอะตอมของไฮโดรเจนต่อคาร์บอนและออกซิเจนต่อคาร์บอนมีค่าลดลงใกล้เคียงกับถ่านหินพีท ผลวิเคราะห์ FTIR ยืนยันการปรับสภาพด้วยกระบวนการ HTC ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของหมู่ฟังก์ชันที่มีออกซิเจนเป็นองค์ประกอบ จากผลการวิจัยสรุปได้ว่าถ่านชีวภาพจากเปลือกถั่วลิสงมีสมบัติด้านเชื้อเพลิงที่ดีขึ้นและสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงแข็งสำหรับการใช้งานด้านความร้อนและทดแทนการใช้ถ่านหินในโรงไฟฟ้า</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256132 การเปรียบเทียบวิธีการถดถอยไม่อิงพารามิเตอร์สำหรับข้อมูลอัตราการแลกเปลี่ยนสกุลเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอเมริกาและปริมาณการนำเข้าไฟฟ้า 2024-03-20T14:20:19+07:00 บุษราพรรณ กันธรรม [email protected] อัชฌา อระวีพร [email protected] <p>ในการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของวิธีการถดถอยไม่อิงพารามิเตอร์ 3 วิธี สำหรับข้อมูลอนุกรมเวลา ได้แก่ วิธีเส้นโค้งเรียบ วิธีเส้นโค้งกำลังสามธรรมชาติ และวิธีเส้นโค้งบี โดยพิจารณาประสิทธิภาพของวิธีการถดถอยไม่อิงพารามิเตอร์จากค่าความคลาดเคลื่อนกำลังสองเฉลี่ยต่ำที่สุด ซึ่งวิธีเหล่านี้จะใช้ค่าพารามิเตอร์ปรับให้เรียบเพื่อควบคุมประสิทธิภาพการปรับให้เรียบของเส้นโค้ง โดยวิธีการแบ่งข้อมูลเป็นหลายส่วน และยังมีการกำหนดค่านอตเพื่อให้เส้นโค้งใกล้กับข้อมูลมากที่สุด โดยใช้อัตราการแลกเปลี่ยนสกุลเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2563 ถึงวันที่ 9 กันยายน 2564 เป็นข้อมูลรายวันจำนวน 200 วัน และปริมาณการนำเข้าไฟฟ้า (กิกะวัตต์ชั่วโมง) ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2547 ถึงเดือนธันวาคม 2563 เป็นข้อมูลรายเดือนจำนวน 200 เดือน และนำตัวแบบการถดถอยไม่อิงพารามิเตอร์ที่มีประสิทธิภาพไปใช้ในการพยากรณ์ล่วงหน้า โดยมีเกณฑ์ คือค่าร้อยละความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์เฉลี่ยต่ำสุด จากผลการประมาณค่าและพยากรณ์ทั้ง 2 ข้อมูล พบว่าค่าความคลาดเคลื่อนกำลังสองเฉลี่ย และค่าร้อยละความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์เฉลี่ยของวิธีเส้นโค้งกำลังสามธรรมชาติมีค่าต่ำสุด จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และเมื่อพิจารณาค่านอตพบว่ายิ่งกำหนดค่านอตมากจะทำให้ค่าความคลาดเคลื่อนกำลังสองมีค่าลดลง นั่นหมายความว่าค่านอตมีผลต่อประสิทธิภาพของวิธีสถิติไม่อิงพารามิเตอร์</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256133 การพัฒนาเครื่องอัดแท่งถ่านชีวมวลสำหรับเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในจังหวัดระยอง 2024-03-20T14:26:36+07:00 กฤตภาส มงคลธำรงกุล [email protected] <p>การศึกษาอัดแท่งถ่านชีวมวลจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรหลายชนิดพบว่าแท่งถ่านยังมีประสิทธิภาพในการใช้งานไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากมีความเปราะบาง ความชื้นสูงทำให้เกิดเชื้อรา มีความยุ่งยากในการผลิต ระยะเวลาเผาไหม้สั้น และมีควันมาก งานวิจัยนี้จึงต้องการสร้างเครื่องอัดแท่งถ่านชีวมวลและเพื่อหาสัดส่วนของวัตถุดิบที่เหมาะสมในการผลิต โดยใช้ถ่านเปลือกทุเรียนและเปลือกมังคุดผสมในอัตราส่วนที่แตกต่างกันโดยใช้แป้งเปียกเป็นตัวประสาน อัตราส่วนการผสมโดยน้ำหนักระหว่างเปลือกทุเรียนและเปลือกมังคุด คือ 4:1 2:1 3:2 1:1 2:3 1:2 และ 1:4 เครื่องทำถ่านอัดแท่งชีวมวลประเมินจากความสามารถในการขึ้นรูป ลักษณะทางกายภาพ และความหนาแน่นของถ่านอัดแท่ง ขณะที่คุณสมบัติของถ่านอัดแท่งจะทำการวิเคราะห์ตามมาตรฐานของสมาคมการทดสอบและวัสดุแห่งอเมริกา ผลการวิจัยพบว่า เครื่องนี้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยถ่านอัดแท่งชีวมวลสามารถอัดขึ้นรูปได้ดี ลักษณะผิวเรียบ มีความแข็งแรงไม่แตกหักความหนาแน่นทุกอัตราส่วนผสมอยู่ระหว่าง 604.94 - 612.12 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ในขณะที่ถ่านอัดแท่งจากเปลือกทุเรียนและเปลือกมังคุดในอัตราส่วน 1:4 มีความเหมาะสมมากที่สุด เนื่องจากมีค่าความร้อนมากที่สุด (5,572.78 กิโลแคลอรีต่อกิโลกรัม) ปริมาณความชื้นน้อยที่สุด (ร้อยละ 4.82) ปริมาณสารระเหยน้อยที่สุด (ร้อยละ 7.26) ปริมาณเถ้าน้อยที่สุด (ร้อยละ 9.47) ค่าคาร์บอนคงตัวมากที่สุด (ร้อยละ 75.39) ทั้งยังมีความหนาแน่น 606.32 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ประสิทธิภาพการใช้งานร้อยละ 22.79 และมีระยะเวลามอดดับ 99.47 นาที</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256134 การสังเคราะห์ผงผลึกแม่เหล็ก MgFe2O4 ด้วยวิธีการเผาไหม้ของแข็งแบบง่าย โดยใช้อุณหภูมิแคลไซน์ต่ำ 2024-03-20T14:29:58+07:00 อาจารีย์ ทองอ่อน [email protected] จิตรกร กรพรม [email protected] ธีระชัย บงการณ์ [email protected] สุปรีดิ์ พินิจสุนทร [email protected] <p>งานวิจัยนี้มุ่งเน้นการสังเคราะห์ผงผลึกแมกนีเซียมเฟอร์ไรต์ MgFe2O4 (MF) ด้วยวิธีการเผาไหม้ของแข็งอย่างง่าย โดยใช้ไกลซีนเป็นเชื้อเพลิง ศึกษาผลของอุณหภูมิแคลไซน์ที่มีต่อโครงสร้างผลึก โครงสร้างจุลภาคและสมบัติแม่เหล็กของผงผลึกแมกนีเซียมเฟอร์ไรต์ การตรวจสอบโครงสร้างผลึกของผงผลึกแมกนีเซียมเฟอร์ไรต์แคลไซน์ที่อุณหภูมิ 500–800 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ด้วยใช้เทคนิคการเลี้ยวเบนของรังสีเอกซ์ (X-ray Diffraction Technique; XRD) พบว่า ผงผลึกแมกนีเซียมเฟอร์ไรต์ทุกตัวอย่างแสดงโครงสร้างสปิเนล แบบคิวบิก และที่อุณหภูมิแคลไซน์ 500 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ชั่วโมง พบเฟสสารแปลกปลอมของ Fe2O3 ปรากฏขึ้นในผล XRD สำหรับผงผลึก แมกนีเซียมเฟอร์ไรต์ แคลไซน์ที่อุณหภูมิ 550–800 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ผงผลึกแสดงโครงสร้างสปิเนลแบบคิวบิกที่บริสุทธิ์ และแสดงค่าร้อยละความบริสุทธิ์ของโครงสร้างสปิเนลแบบคิวบิกเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ โครงสร้างจุลภาคของผงผลึกแมกนีเซียมเฟอร์ไรต์แคลไซน์ที่อุณหภูมิระหว่าง 500–800 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ชั่วโมง แสดงลักษณะค่อนข้างกลมและเกาะกลุ่มกัน ขนาดอนุภาคเฉลี่ยของผงผลึกมีขนาดเพิ่มขึ้นจาก 122 ± 31 ถึง 310 ± 85 นาโนเมตร เมื่ออุณหภูมิแคลไซน์เพิ่มขึ้นจาก 500–800 องศาเซลเซียส จากการตรวจสอบสมบัติแม่เหล็กที่อุณหภูมิ 300 เคลวิน พบว่า ผงผลึก แมกนีเซียมเฟอร์ไรต์ ที่แคลไซน์ที่อุณหภูมิ 650 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ชั่วโมง แสดงสมบัติแม่เหล็กเฟร์โรอิเล็กแบบอ่อนที่ดีที่สุด และแสดงค่าแมกนีไตเซชันอิ่มตัว (Ms ~39.37 emu/g) และค่าแมกนีไตเซชันคงค้าง (Mr ~8.83 emu/g) สูงที่สุด ขณะที่ค่าสนามแม่เหล็กลบล้างมีค่าต่ำ (Hc ~69 Oe) ดังนั้นผลลัพธ์ในงานวิจัยนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาผงผลึก แมกนีเซียมเฟอร์ไรต์ เฟร์โรแมกเนติกเพื่อนำไปใช้ในอุปกรณ์ไมโครอิเล็กทรอนิกส์</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256135 จลนศาสตร์และไอโซเทอร์มการดูดซับอะทราซีนโดยไบโอชาร์ไม้ไผ่ 2024-03-20T14:37:10+07:00 อนัญญา จีระโร [email protected] สุธาทิพย์ สินยัง [email protected] พวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล [email protected] กิตติพงค์ คุณจริยกุล [email protected] <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิภาพการดูดซับอะทราซีนด้วยไบโอชาร์ที่สังเคราะห์จากไม้ไผ่ โดยศึกษาคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีของไบโอชาร์ไม้ไผ่ และศึกษาระยะเวลาสมดุล ประสิทธิภาพการดูดซับ ไอโซเทอม รวมทั้งแบบจำลองจลนศาสตร์การดูดซับอะทราซีนของไบโอชาร์ไม้ไผ่ ด้วยการทดลองแบบกะ จากคุณสมบัติทางกายภาพและเคมี พบว่า ไบโอชาร์ไม้ไผ่มีค่า D50 เท่ากับ 200 ไมโครเมตร พื้นที่ผิวเท่ากับ 756.43 ตารางเมตรต่อกรัม และมีปริมาตรรูพรุนเท่ากับ 0.32 ลูกบาศก์เซนติเมตรต่อกรัม แสดงให้เห็นว่าเป็นวัสดุดูดซับแบบ Micropore เนื่องจากมีขนาดรูพรุนภายในเฉลี่ยเท่ากับ 1.69 นาโนเมตร นอกจากนั้นพบว่า มีการตรวจพบหมู่ฟังก์ชันของไฮดรอกซิล (O-H) ไฮโดรคาร์บอนประเภทอัลคิล (C-H) อะลิฟาติก (C-H) และอะโรมาติก (C=C) ที่ส่งผลต่อความสามารถในการดูดซับสารอะทราซีน ในส่วนการประเมินประสิทธิภาพในการดูดซับสารอะทราซีนพบว่า ให้ประสิทธิภาพในการดูดซับ 92.1 เปอร์เซ็นต์ หลังจากเข้าสู่ระยะเวลาสมดุลที่ 24 ชั่วโมง สอดคล้องกับสมการไอโซเทอร์มแบบฟรุนดิช โดยมีค่าคงที่สัมพันธ์กับความสามารถในการดูดซับ (KF) เท่ากับ 0.77 ไมโครกรัมต่อกรัม และการศึกษาแบบจำลองจลนศาสตร์การดูดซับชี้ให้เห็นว่าเป็นไปตามแบบจำลองอันดับที่สองเทียม ด้วยค่า R2 และ SSE เท่ากับ 0.9998 และ 0.0015 ตามลำดับ เมื่อพิจารณาค่าคงที่อัตราเร็วปฏิกิริยาอันดับสอง (K2) มีค่าเท่ากับ 0.1306 ไมโครกรัมต่อกรัมต่อนาที จึงสรุปได้ว่าการดูดซับอาศัยกลไกทั้งทางด้านกายภาพและเคมี ผลการทดลองทั้งหมดแสดงให้<br>เห็นว่าไบโอชาร์ไม้ไผ่มีคุณภาพสูงในการเป็นวัสดุดูดซับสารอะทราซีน ซึ่งจัดเป็นวัดสุดูดซับที่มีต้นทุนต่ำสำหรับป้องกันสารเคมีทางการเกษตรออกสู่นอกพื้นที่และเข้ามาในพื้นที่</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256136 แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของสมรภูมิทางอากาศโดยใช้แบบจำลองแลนเชสเตอร์ 2024-03-20T14:47:19+07:00 สมบูรณ์ พัฒนสกุลลอย [email protected] เทียนสิริ เหลืองวิไล [email protected] <p>ในงานวิจัยชิ้นนี้ได้พัฒนาแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ขึ้นมาเพื่อวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของกองกำลังสองฝ่ายที่ลดน้อยลงในการสู้รบระหว่างกันในสมรภูมิการรบทางอากาศ โดยแบบจำลองนี้ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากพื้นฐานของแบบจำลองแลนเชสเตอร์ ที่นิยมใช้ในการจำลองการลดถอยลงของกำลังรบในสมรภูมิ ซึ่งแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นมาในงานวิจัยนี้จะมีตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยของการโจมตีและป้องกันทางอากาศ การตรวจจับและการรับรู้สถานการณ์ การป้องกันตัวเองของอากาศยาน ความสามารถในการเอาตัวรอดของอากาศยาน และความเสื่อมถอยของอากาศยานระหว่างทำการรบ โดยแบบจำลองนี้จะทำให้เห็นพฤติกรรมขั้นพื้นฐานและทำให้มีความเข้าใจในสมรภูมิการรบทางอากาศมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญสำหรับการวางแผนยุทธศาสตร์ของการรบ ทางอากาศ การวางแผนการทำภารกิจทางอากาศ โดยเฉพาะการนำมาวิเคราะห์เกมจำลองยุทธทางอากาศเพื่อใช้ในการเรียนการสอนในวิชาการจำลองยุทธ์ทางทหาร นอกจากนี้แล้วแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในงานวิจัยนี้ ยังจะสามารถพัฒนาต่อยอดเพื่อใช้ทำนายสถานการณ์ของสมรภูมิการรบทางอากาศในอนาคตได้อีกด้วยเมื่อมีข้อมูลที่เพียงพอในการประมาณค่าตัวแปรต่าง ๆ</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256158 คำแนะนำในการเตรียมต้นฉบับบทความวารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 2024-03-22T08:05:58+07:00 คำแนะนำในการเตรียมต้นฉบับบทความ วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ [email protected] <p>-</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256137 การพัฒนารูปแบบศักยภาพของผู้จัดการโครงการในอุตสาหกรรมก่อสร้างอาคารสูงในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล 2024-03-20T15:05:52+07:00 วีระศักดิ์ วานิชวัฒน์ [email protected] ธีรวุฒิ บุณยโสภณ [email protected] สมนึก วิสุทธิแพทย์ [email protected] <p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาองค์ประกอบ พัฒนารูปแบบ และจัดทำคู่มือแนวทางการพัฒนาศักยภาพของผู้จัดการโครงการในอุตสาหกรรมก่อสร้างอาคารสูงในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ใช้เทคนิคเดลฟาย (Delphi) โดยผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 26 คน คัดเลือกแบบเจาะจงเลือก ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญจากสถานประกอบการภาคอุตสาหกรรม ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นนักวิชาการด้านวิศวกรรมโยธา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามปลายเปิดสำหรับการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ ในรอบที่ 1 และแบบสอบถามปลายปิด รอบที่ 2 และ 3 โดยได้มีการประชุมสนทนากลุ่ม (Focus Group) กับผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 16 คน เพื่อประเมินรูปแบบ และผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ประเมินคู่มือ สถิติวิเคราะห์ ที่ใช้ประกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่ามัธยฐาน (Median) และค่าพิสัยระหว่างควลไทล์ (IQR) ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบศักยภาพของผู้จัดการโครงการในอุตสาหกรรมก่อสร้างอาคารสูงในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก และ 24 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ 1) ด้านการวางแผน ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบย่อย คือ 1.1) การวางแผนการดำเนินงาน 1.2) การวางแผนด้านเทคโนโลยีดิจิทัล 1.3) การวางแผนด้านความเสี่ยงและความปลอดภัย 1.4) การวางแผนการใช้ทรัพยากรดำเนินงาน และ 1.5 การวางแผนด้านการเงินและงบประมาณ 2) ด้านการจัดองค์การ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบย่อย คือ 2.1) การกำหนดโครงสร้างหน่วยงาน 2.2) การกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบ 2.3) การกำหนดระเบียบข้อบังคับ และ 2.4) การบริหารคนและบริหารงาน 3) ด้านการสั่งการ ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบย่อย คือ 3.1) การมอบหมายงาน 3.2) การตัดสินใจ 3.3) การพัฒนาระบบการทำงาน 3.4) การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมก่อสร้าง และ 3.5) การสร้างขวัญและกำลังใจ 4) ด้านการประสานงาน ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบย่อย คือ 4.1) การกำหนดการวางแผนร่วมกัน 4.2) การติดต่อประสานงานภายในและภายนอก 4.3) การสื่อสารด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ 4.4) การประชุมชี้แจงข้อมูล และ 4.5) การให้คำปรึกษาการทำงาน และ 5) ด้านการควบคุม ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบย่อย คือ 5.1) การกำหนดระบบการติดตามงาน 5.2) การบันทึกและรายงานข้อมูล 5.3) การควบคุมความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมการทำงาน 5.4) การควบคุมภายในและการบริหารความเสี่ยง และ 5.5) การบริหารสัญญา โดยมีผลการประเมินรูปแบบจากการจัดประชุมสนทนากลุ่มย่อย โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 16 คน มีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นว่ารูปแบบการพัฒนาศักยภาพของผู้จัดการโครงการในอุตสาหกรรมก่อสร้างอาคารสูงในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล มีความเหมาะสม และคู่มือแนวทางการพัฒนาศักยภาพของผู้จัดการโครงการในอุตสาหกรรมก่อสร้างอาคารสูงในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 ท่าน มีความคิดเห็นสอดคล้องกันทุกคนโดยเห็นว่าคู่มือมีความเหมาะสมสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256139 การศึกษาปัจจัยของการกำจัดเชื้อแบคทีเรียด้วยพลาสมาระบบไดอิเล็กทริคแบริเออร์ดิสชาร์จบนกรรไกรผ่าตัด 2024-03-20T15:18:41+07:00 เพ็ญพิมล ใจอารีย์ [email protected] รุ่งทิวา อิสสระชีพสกุล [email protected] ชูพล พรหมสุทธิรักษ์ [email protected] ปรัชญา ตั้งจิตสมบูรณ์ [email protected] <p>การปนเปื้อนเชื้อโรคบนพื้นผิวของอุปกรณ์ทางการแพทย์ส่งผลต่อการติดเชื้อในระหว่างการทำหัตถการ ดังนั้นทางคณะผู้วิจัยทำการวิจัยกำจัดเชื้อบนพื้นผิวเครื่องมือแพทย์โดยใช้พลาสมาที่มาจากระบบไดอิเล็กทริคแบร์ริเออร์ดิจชาร์จ (Dielectric barrier discharge plasma : DBD plasma) บนพื้นผิวเครื่องมือแพทย์ตัวอย่างนั่นคือ กรรไกรผ่าตัดขนาดเล็ก งานวิจัยนี้ศึกษาตัวแปรที่มีผลต่อการกำจัดเชื้อ ได้แก่ ศักย์ไฟฟ้าที่ให้แก่ระบบซึ่งเพิ่มขึ้นทีละ 1 กิโลโวลต์ โดยทำการทดสอบทั้งหมด 3 ค่า ได้แก่ 6 กิโลโวลต์ 7 กิโลโวลต์ และ 8 กิโลโวลต์ ตามลำดับ และเวลาที่พื้นผิววัสดุสัมผัสพลาสมา ได้แก่ เวลา 1 นาที 3 นาที และ 5 นาที ตามลำดับ ในการทดลองกำหนดให้ระยะห่างระหว่างผิววัสดุกับขั้วไฟฟ้ามีค่าคงที่ งานวิจัยนี้เชื้อที่นำมาทดสอบ คือ เชื้อบนฝ่ามือที่ได้รับการเพาะเชื้อบนจานเพาะเชื้อ เชื้อดังกล่าวที่ถูกทดสอบในแต่ละเงื่อนไข หลังจากการทดลองเชื้อดังกล่าวถูกเพาะและทิ้งไว้เป็นเวลา 3 วัน หลังจากนั้นจึง สังเกตผล จากผลการทดลองพบว่าศักย์ไฟฟ้ที่สูงขึ้นและเวลาที่พลาสมาสัมผัสผิวของวัสดุที่มากขึ้นส่งผลต่อประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อของพลาสมาที่มากขึ้นเช่นกัน</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256140 การออกแบบระบบป้องกันสำหรับมอเตอร์เหนี่ยวนำ กรณีศึกษา: ความผิดพร่องโรเตอร์เยื้องศูนย์แบบขนาน โดยใช้ฟัซซี่ลอจิก 2024-03-20T15:26:06+07:00 บุญเติม อุ่นวิเศษ [email protected] กาญจน์ กันปัญญา [email protected] สิทธิพงศ์ อินทรายุทธ [email protected] ศุภชัย ปลายเนตร [email protected] <p>การป้องกันความผิดพร่องของมอเตอร์เหนี่ยวนำมีความจำเป็นและสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ซึ่งสามารถลดต้นทุนการบำรุงรักษาเครื่องจักรกล งานวิจัยนี้นำเสนอการออกแบบระบบตรวจจับและป้องกันมอเตอร์เหนี่ยวนำ โดยใช้เทคนิคฟัซซี่ลอจิกร่วมกับโปรแกรมเมเบิลลอจิกคอลโทรล (PLC) โดยเริ่มจากการออกแบบโดยการกำหนด 2 อินพุท คือ ข้อมูลสัญญาณการสั่นสะเทือนและข้อมูลสัญญาณกระแส เพื่อสร้างฟังก์ชันสมาชิก และสร้างกฎของฟัซซี่จำนวน 9 กฎด้วยโปรแกรม MATLAB จากนั้นนำไปใช้ออกแบบและเขียนโปรแกรมร่วมกับ PLC ส่วนอินพุทรับสัญญาณแอนะล็อกจากเซนเซอร์ตรวจจับการสั่นสะเทือนและกระแสมอเตอร์เมื่อเกิดการผิดพร่องจากการเยื้องศูนย์ของมอเตอร์ ระบบเซนเซอร์ตรวจจับแปลงสัญญาณแอนะล็อกเป็นสัญญาณดิจิทัล (A to D) 4-20 มิลลิแอมแปร์ เชื่อมโยงกับอินพุทของ PLC การเขียนโปรแกรมแลดเดอร์ใช้หลักการตัดสินใจจากกฏฟัซซี่สร้างอัลกอริทึมเพื่อป้องกันความผิดพร่องจากการเยื้องศูนย์ของโรเตอร์ ผลการจำลองและทดลองแสดงให้เห็นประสิทธิภาพของการตรวจจับมีความถูกต้องเฉลี่ยร้อยละ 85 และการป้องกันมีประสิทธิภาพน่าพอใจ การวิจัยนี้จึงเป็นพัฒนาอัลกอริทึมระบบตรวจจับ ระบบตัดสินใจ ระบบควบคุมและระบบป้องกัน ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานสำหรับเครื่องจักรกลไฟฟ้าในอุตสาหกรรม</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/255724 เศษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว และกระบวนการกลั่นชีวมวลลิกโนเซลลูโลส: กรพัฒนาที่ยั่งยืนและการลดภาวะภูมิอากาศแปรปรวน 2024-02-15T14:09:57+07:00 ณิชาภัทร กิติบวรกุุล [email protected] มาลินี ศรีอริยนันท์ [email protected] <div>Global warming is a crucial environmental challenge that has wide-ranging impacts on human health, economics and environment. Global warming is mainly caused by the release of greenhouse gases (GHGs), such as methane (CH4), nitrous oxide (N2O), ozone (O3), fluorinated gas, and carbon dioxide (CO2) in the atmosphere. It comes from burning fossil fuels, deforestation, and industrial processes. These greenhouse gases will trap heat in the atmosphere, as a result, the world's temperature is increased. This increase in temperature affects the weather and alters the ecosystem, such as drought, uplifting of sea level and ozone hole.</div> 2024-02-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256141 วิธีการทางคณิตศาสตร์สำหรับสมการชเรอดิงเงอร์และการหาเงื่อนไขของการเกิดค่าความถี่ควอซีนอร์มอลสำหรับพลังงานศักย์แบบต่าง ๆ 2024-03-20T15:33:53+07:00 เจริญศักดิ์ ยินดีเทศ [email protected] เพชรอาภา บุญเสริม [email protected] กุลภัทร แสนสุข [email protected] ศรัทธา พลังทรงสถิต [email protected] <p>สมการชเรอดิงเงอร์นับว่ามีบทบาทเป็นอย่างมากในการศึกษาและทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในกลศาสตร์ควอนตัมเนื่องจากมีผลเฉลยเป็นฟังก์ชันคลื่น ซึ่งสามารถใช้ทำนายพฤติกรรรมต่าง ๆ ของคลื่นได้โดยจะมีค่าเปลี่ยนไปตามพลังงานศักย์ที่ใช้ โดยทั่วไปสมการชเรอดิงเงอร์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ สมการชเรอดิงเงอร์ที่ขึ้นกับเวลา และสมการชเรอดิงเงอร์ที่ไม่ขึ้นกับเวลา สำหรับในบทความนี้ได้สนใจศึกษาผลเฉลยของสมการชเรอดิงเงอร์ที่ไม่ขึ้นกับเวลาในหนึ่งมิติโดยวิธีการประมาณค่าแบบดับเบิลยูเคบี ซึ่งผลเฉลยดังกล่าวจะนำไปสู่การหาเงื่อนไขที่ทำให้เกิดค่าความถี่ควอซีนอร์มอลสำหรับพลังงานศักย์แบบต่าง ๆ</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/255776 การคำนวณกระแสอ้างอิงด้วยทฤษฎีกำลังไฟฟ้าขณะหนึ่งสำหรับการปรับปรุงคุณภาพกระแสไฟฟ้าในระบบจ่ายไฟฟ้าสำหรับจ่ายรถไฟฟ้า 2024-02-21T15:29:54+07:00 ชาคริต ปานแป้น [email protected] จีรวรรณ หอมจันทร์ [email protected] จิตติมา วระกุล [email protected] วรวัฒน์ ลวนนท์ [email protected] <p>บทความนี้นำเสนอการปรับปรุงคุณภาพกระแสไฟฟ้าของระบบรางไฟฟ้า โดยมุ่งเน้นการกำจัดกระแสฮาร์มอนิก การปรับปรุงค่าตัวประกอบกำลัง และการชดเชยกระแสที่แหล่งจ่ายไม่สมดุลให้กลับสู่สภาวะสมดุล โดยใช้การคำนวณกระแสอ้างอิงของวงจรกรองกำลังแอกทีฟด้วยทฤษฎีกำลังไฟฟ้าขณะหนึ่ง การทดสอบสมรรถนะการปรับปรุงคุณภาพกระแสไฟฟ้าเพื่อยืนยันการคำนวณกระแสอ้างอิงด้วยทฤษฎีกำลังไฟฟ้าขณะหนึ่งที่ได้นำเสนอ อาศัยเทคนิคฮาร์ดแวร์ในลูป ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างบอร์ด eZdspTM F28335 และโปรแกรม MATLAB/Simulink ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า การคำนวณกระแสอ้างอิงด้วยทฤษฎีกำลังไฟฟ้าขณะหนึ่งสำหรับการปรับปรุงคุณภาพกระแสไฟฟ้าในระบบรางไฟฟ้าที่ได้นำเสนอมีสมรรถนะที่ดีในการคำนวณกระแสอ้างอิงให้กับวงจรกรองกำลังแอกทีฟ โดยพิจารณาจากดัชนีชี้วัดสมรรถนะคุณภาพไฟฟ้ากระแสไฟฟ้า ประกอบด้วย ค่าเปอร์เซ็นต์ความเพี้ยนของกระแสฮาร์มอนิก ค่าตัวประกอบกำลัง และค่าเปอร์เซ็นต์ตัวประกอบความไม่สมดุลของกระแส ภายหลังการชดเชยมีค่าอยู่ภายใต้มาตรฐาน IEEE standard 519-2014</p> 2024-01-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/255790 การตรวจจับการล้มตามลำดับความรุนแรงสำหรับผู้สูงอายุโดยใช้สัญญาณ WiFi 2024-02-22T11:29:16+07:00 พงษ์พันธ์ ลีลาเธียร [email protected] กันตพร ภาระราช [email protected] <p>อุบัติเหตุการล้มของผู้สูงอายุมักเกิดขึ้นในห้องน้ำหรือห้องนอนซึ่งต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่สะดวกต่อการติดตั้งกล้องวงจรปิด เพื่อลดการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมและไม่รุกล้ำความเป็นส่วนตัว บทความนี้ได้ตรวจจับและจำแนกความรุนแรงการล้มของผู้สูงอายุโดยใช้อุปกรณ์ปล่อยสัญญาณวายฟายที่มีอยู่ภายในบ้านทั่วไป ซึ่งพิจารณาจำแนกความรุนแรงของการล้มเป็น 3 ระดับ คือ เล็กน้อย ปานกลาง และรุนแรง โดยเก็บข้อมูล Channel State Information (CSI) เมื่อเกิดเหตุการณ์ลื่นล้มตั้งแต่ก่อนล้มไปจนถึงหลังล้ม 27 เหตุการณ์ จำนวนเหตุการณ์ละ 600 ชุดข้อมูล สถานที่ใช้ทดลองคือห้องสตูดิโอที่ประกอบด้วยห้องนอนพร้อมห้องน้ำ ทดลองภายใต้ 3 สถานการณ์คือ Line-of-Sight (LoS), Non-Line-of-Sight (NLoS) และ NLoS Through the Wall พบว่า มีความแม่นยำอยู่ที่ 98.2%, 97.6% และ98.3% ตามลำดับ โดยใช้เทคนิคการจำแนกแบบ Support Vector Machine (SVM) การพิจารณาการล้มตามลำดับความรุนแรงสามารถนำไปพัฒนาเพื่อติดตั้งระบบแจ้งเตือนและการรักษาที่เหมาะสมหลังเกิดเหตุการณ์ล้มของผู้สูงอายุในอนาคตต่อไป</p> 2024-01-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/255791 การนำกลับของกรดลินียร์อัลคิลเบนนซัโฟนิกจากของเสียจากกระบวนการซัลโฟเนชัน 2024-02-22T11:35:27+07:00 สุธีพร ทนคำ [email protected] ไพลิน เงาตระการวิวัฒน์ [email protected] <p>สารซักล้างเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีแนวโน้มความต้องการใช้เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากการความตระหนักทางด้านสุขภาวะส่วนบุคคลที่เป็นผลจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยองค์ประกอบหลักของสารซักล้าง คือ สารลดแรงตึงผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรดลิเนียร์อัลคิลเบนซีนซัลโฟนิก (LAS) เป็นสารลดแรงตึวผิวที่นิยมใช้ในสารซักล้าง และผลิตได้จากกระบวนการซัลโฟเนชันของลิเนียร์อัลคิลเบนซีน (LAB) ร่วมกับซัลเฟอร์ไดออกไซด์ แม้สภาวะในการดำเนินกระบวนการจะถูกควบคุมอย่างดี อย่างไรก็ตาม จะเกิดของเสียจากกระบวนการซึ่งมีองค์ประกอบของกรดลิเนียร์อัลคิลเบนซีนซัลโฟนิก (LAS) สูงถึงร้อยละ 78-88 การนำกรดลิเนียร์อัลคิลเบนซีนซัลโฟนิก (LAS) ที่มีอยู่ในของเสียกลับมาใช้ในการผลิตสารซักล้างจะทำให้สารซักล้างมีสีน้ำตาลและเป็นกรดส่งผลให้ผลิตภัณฑ์เสียมูลค่า ดังนั้นงานวิจัยนี้ได้ศึกษาการปรับปรุงสีของของเสียจากกระบวนการซัลโฟเนชันด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และปัจจัยที่ทำให้เกิดสี อีกทั้งศึกษาเสถียรภาพของของเสียหลังการปรับปรุงคุณภาพ พบว่า การปรับปรุงสีของของเสีย 30 กรัม ด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ร้อยละ 3.84 โดยน้ำหนัก สามารถกำจัดสารที่ก่อให้เกิดสีเข้ม ประกอบด้วย ซัลโฟนและโอเลฟินส์ ส่งผลให้ค่าสี (Klett color scale) ลดลงจาก 874 เหลือ 35 ซึ่งมีค่าสีเท่ากับค่ามาตรฐาน และค่าสีมีความเสถียรอย่างน้อย 7 วัน อีกทั้ง ยังสามารถกำจัดกรดซัลฟิวริก (H2SO4) เหลือร้อยละ 10.3 และค่าความเป็นกรด (Acid value) เหลือ 263 มิลลิกรัมโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ต่อกรัม ซึ่งยังมีค่าสูงกว่าค่ามาตรฐาน 3.5 เท่า และ 0.4 เท่า ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม การเติมไฮโดรเจนไฮดรอกไซด์จะไม่ทำลายสารลดแรงตึงผิวที่มีอยู่ โดยค่าค่าร้อยละของสารลดแรงตึงผิวมีค่าคงที่ กระบวนการปรับปรุงคุณภาพของเสียจากกระบวนการนี้ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดของเสียในเตาเผา (Incinerator) ซึ่งลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และสารประกอบซัลเฟอร์ออกไซด์ (SOx) ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการกำจัดของเสีย ออกสู่บรรยากาศอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น กรดลิเนียร์อัลคิลเบนซีนซัลโฟนิก (LAS) ที่นำกลับมาจากของเสียจากกระบวนการจะส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) อีกด้วย</p> 2024-01-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256110 การวิเคราะห์แผ่นพื้นหนาออกเซติกแบบออร์โททรอปิกด้วยวิธีบาวน์ดารีเอลิเมนต์ 2024-03-19T15:20:04+07:00 ศิรกร จึระดิษฐ์ [email protected] บุญมี ชินนาบุญ [email protected] สมชาย ชูชีพสกุล [email protected] <p>บทความนี้เสนอการประยุกต์ใช้วิธีบาวน์ดารีเอลิเมนต์เพื่อวิเคราะห์แผ่นพื้นหนาที่ทำจากวัสดุออกเซติกแบบออร์โททรอปิกโดยใช้สมมติฐานแผ่นพื้นหนาตามทฤษฎีของมินด์ลินซึ่งพิจารณาการเสียรูปเนื่องจากแรงเฉือน โดยวัสดุประเภทออกเซติกเป็นวัสดุที่มีค่าอัตราส่วนปัวซงเป็นลบ ซึ่งเป็นผลเนื่องจากการจัดเรียงโครงสร้างภายในของวัสดุ ลักษณะของแผ่นพื้นที่ใช้ในการวิเคราะห์จะเป็นแผ่นพื้นที่มีที่รองรับแบบต่างๆ หรือมีที่รองรับแบบผสม งานวิจัยนี้ประยุกต์ใช้หลักการสมการแอนะล็อกซึ่งจะสามารถแทนสมการควบคุมดั้งเดิมของปัญหาซึ่งมีความซับซ้อนทางคณิตศาสตร์ด้วยสมการปัวซงสามสมการ ภายใต้การกระทำจากแหล่งกำเนิดสมมติโดยมีเงื่อนไขที่ขอบเขตคงเดิม จากนั้นใช้เทคนิคของวิธีบาวน์ดารีเอลิเมนต์ร่วมกับเรเดียลเบสิสฟังก์ชันทำให้ได้สมการอินทิกรัลที่ขอบเขต ซึ่งจะมีการแบ่งเอลิเมนต์เฉพาะที่ขอบเขตของปัญหาเท่านั้น จากผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าผลการคำนวณจากงานวิจัยนี้มีความถูกต้องที่ดีเยี่ยมเมื่อเทียบกับคำตอบที่ได้จากวิธีเชิงวิเคราะห์ และมีความสอดคล้องกับคำตอบที่ได้จากวิธีไฟไนท์เอลิเมนต์ ผลกระทบของพารามิเตอร์ต่างๆ ต่อการตอบสนองของโครงสร้างแผ่นพื้นได้รับการศึกษาอย่างละเอียด และเพื่อแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของวิธีบาวน์ดารีเอลิเมนต์ที่นำเสนอในงานบทความนี้แผ่นพื้นที่มีรูปร่างซับซ้อนแบบต่างๆ ได้ทำการวิเคราะห์และเปรียบเทียบผลการคำนวณที่ได้จากวิธีไฟไนท์เอลิเมนต์</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256112 การใช้ขยะพลาสติกพอลิเอทิลีนและพอลิโพรพิลีนแทนที่มวลรวมละเอียดบางส่วนในการออกแบบผิวทางแอสฟัลต์คอนกรีต 2024-03-19T15:33:41+07:00 วิกานต์ เรือนสุข [email protected] นิรชร นกแก้ว [email protected] <p>งานวิจัยนี้ศึกษาการใช้ขยะพลาสติกพอลิเอทิลีนและพอลิโพรพิลีนแทนที่มวลรวมละเอียดบางส่วนในการออกแบบผิวทางแอสฟัลต์คอนกรีต โดยใช้มวลรวมหินปูนจำนวน 1 แหล่ง ขยะพลาสติกทั้งสองชนิด (Plastic Waste, PW) ผสมกัน คือ พอลิเอทิลีน (PE) และพอลิโพรพิลีน (PP) ร้อยละเท่ากับ 70:30 ส่วนผสมมี 2 กลุ่มคือ กลุ่มแรก เป็นส่วนผสมแอสฟัลต์คอนกรีต (Asphalt Concrete; AC) อัตราส่วนผสมมวลรวมของยุ้งหินร้อน (Hot Bin Mix Proportion 1:2:3:4) เท่ากับ 48:14:20:18 โดยมวลของมวลรวม และกลุ่มที่สอง เป็นส่วนผสมแอสฟัลต์คอนกรีตผสมขยะพลาสติก (Plastic Waste Asphalt Concrete; PWAC) อัตราส่วนผสมขยะพลาสติกผสมมวลรวมของยุ้งหินร้อน (Hot Bin Mix Proportion PW:1:2:3:4) เท่ากับ 0.3:47.7:14:20:18 โดยมวลของมวลรวม และใช้ปริมาณแอสฟัลต์ซีเมนต์เกรด AC 60-70 เท่ากับ ร้อยละ 5.0 โดยมวลของมวลรวม ทั้งในห้องปฏิบัติการและแปลงทดลอง การเตรียมก้อนตัวอย่างเป็นกระบวนการผสมแบบแห้ง โดยใช้วิธีมาร์แชลล์และเกณฑ์ชั้น Wearing Course ขนาด 12.5 มิลลิเมตร ทดสอบสมบัติด้านความหนาแน่น เสถียรภาพ ค่าการไหล ช่องว่างอากาศ ช่องว่างระหว่างมวลรวม ช่องว่างที่ถูกแทนที่ด้วยแอสฟัลต์ และดัชนีความแข็งแรง พบว่า ปริมาณขยะพลาสติกที่เหมาะสมร้อยละเท่ากับ 70:30 อัตราส่วนผสมมวลรวมของยุ้งหินร้อนและอัตราส่วนผสมขยะพลาสติกผสมมวลรวมของยุ้งหินร้อนทั้งในห้องปฏิบัติการและแปลงทดลองมีสมบัติดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์ตามมาตรฐานของกรมทางหลวง</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256113 การปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงานโดยการจัดตารางแบบฮิวริสติกพลวัตในการจ่ายน้ำมันของคลังน้ำมัน 2024-03-19T15:41:51+07:00 ศุภณัฐ สีทา [email protected] อังศุมาลิน เสนจันทร์ฒิไชย [email protected] วรโชค ไชยวงศ์ [email protected] <p>งานวิจัยนี้นำเสนอการปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงานโดยการจัดตารางการเติมน้ำมันให้กับรถบรรทุกน้ำมันที่เข้ามารับน้ำมันในคลังน้ำมันกรณีศึกษา โดยการจัดตารางการรับน้ำมันจะคำนึงถึงความสำคัญของปั๊มมากกว่าคำสั่งซื้อน้ำมัน และคำสั่งซื้อที่ถูกจัดตารางเป็นคำสั่งซื้อที่สามารถรับน้ำมันได้หลายชนิดในเวลาเดียวกัน ประกอบกับการใช้งานปั๊มที่ปั๊มแต่ละตัวสามารถจ่ายน้ำมันให้กับรถบรรทุกน้ำมัน 2–5 คันพร้อมๆ กัน ซึ่งกระบวนการจัดตารางจะเป็นแบบฮิวริสติกพลวัต (Dynamic Heuristic) โดยอาศัยกฎ Least Operation Remaining และ Largest Total Processing Time ในการจัดลำดับความสำคัญของใบคำสั่งซื้อ และการจัดตารางเวลาที่คำนึงถึงจำนวนหัวจ่ายที่ถูกใช้งาน งานที่เหลืออยู่ในระบบและการใช้พลังงานของปั๊มที่เปลี่ยนแปลงตามเวลา จากการจัดตารางด้วยฮิวริสติกพลวัตทั้งหมด 2 วิธี พบว่า ค่าพลังงานที่ใช้ต่อปริมาณน้ำมัน 1 ลิตรลดลงร้อยละ 42 จากการใช้พลังงานเฉลี่ยเดิม 0.42 วัตต์ชั่วโมงต่อลิตร เหลือเพียง 0.24 วัตต์ชั่วโมงต่อลิตร มีผลให้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเฉลี่ยของปั๊มเป็นจำนวนเงิน 199,006.25 บาทต่อเดือน ทั้งนี้การจัดตารางดังกล่าวดำเนินการภายใต้กระบวนการจัดตารางที่รู้จำนวนงานล่วงหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนงานระหว่างการจัดตารางที่ถูกออกแบบโดยการคำนึงถึงลักษณะทางกายภาพของคลังน้ำมันเป็นหลัก</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256115 การพัฒนาแบบจำลองการเสื่อมสภาพผิวทางแอสฟัลต์โดยวิธีลูกโซ่มาร์คอฟ: กรณีศึกษาทางหลวงหมายเลข 4 ช่วง กม. 67+334 ถึง กม. 111+457 2024-03-19T15:53:04+07:00 ณัชพล มณีแดง [email protected] บรรพต กุลสุวรรณ [email protected] นิภาวรรณ กุลสุวรรณ [email protected] <p>งานวิจัยนี้ได้พัฒนาแบบจำลองการเสื่อมสภาพผิวทางแอสฟัลต์ด้วยวิธีลูกโซ่มาร์คอฟ โดยพิจารณาปัจจัยที่ส่งผลต่อความเสื่อมสภาพผิวทางจากปริมาณจราจร น้ำหนักบรรทุกและปริมาณน้ำฝน บนทางหลวงหมายเลข 4 ช่วงกม. 67+334 ถึง 111+457 เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้แบบจำลองที่สร้างจากวิธีลูกโซ่มาร์คอฟมาคาดคะเนความเสื่อมสภาพผิวทางแอสฟัลต์ โดยนำข้อมูลดัชนีความขรุขระสากลในช่วงปี พ.ศ. 2556 ถึง พ.ศ. 2561 เป็นดัชนีในการบ่งบอกสภาพผิวทาง จากนั้นทำการสอบเทียบแบบจำลองจากข้อมูลจริง จากผลการศึกษาพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างอายุผิวทาง (ปี) และดัชนีความขรุขระสากล สอดคล้องกับสมการเอกซ์โพเนนเชียล โดยมีค่า R-Square (R2) จากสมการที่สร้างจากปัจจัยที่ศึกษาอยู่ในช่วง 0.892-0.987 ทั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่าหากมีจำนวนข้อมูลที่นำมาสร้างแบบจำลองที่มากเพียงพอ จะสามารถนำแบบจำลองที่สร้างจากวิธีลูกโซ่มาร์คอฟมาใช้ในการคาดคะเนความเสื่อมสภาพของผิวทางแอสฟัลต์ที่ทำการจัดกลุ่มปัจจัยจากปริมาณจราจร น้ำหนักบรรทุกและปริมาณน้ำฝน ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับการวางแผนการจัดสรรงบประมาณในงานบำรุงรักษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256116 การวิเคราะห์การดัดของแผ่นพื้นหนาที่วางบนฐานรากยืดหยุ่นหลายชั้นโดยวิธีบาวดารีเอลิเมนต์ 2024-03-19T16:03:47+07:00 จิรพงศ์ ชนะดี [email protected] บุญมี ชินนาบุญ [email protected] สมชาย ชูชีพสกุล [email protected] <p>บทความนี้เสนอการวิเคราะห์ปัญหาแผ่นพื้นหนาของมินด์ลินวางบนฐานรากยืดหยุ่นหลายชั้นโดยวิธีบาวดารีเอลิเมนต์ (BEM) การวิเคราะห์ปัญหาจะใช้หลักการของสมการแอนะล็อก ตามแนวคิดนี้ สมการเชิงอนุพันธ์ของปัญหาเดิมจะถูกแทนที่ด้วยสมการปัวซงที่ถูกกระทำโดยแหล่งกำเนิดสมมติ และยังคงใช้เงื่อนไขที่ขอบเขตเดิม จากนั้นประยุกต์ใช้วิธีบาวดารีเอลิเมนต์เพื่อสร้างสมการปริพันธ์ของผลเฉลย และประมาณค่าแหล่งกำเนิดสมมติด้วยอนุกรมเรเดียลเบสิสฟังก์ชัน ในบทความนี้เรเดียลเบสิสฟังก์ชันที่ใช้ คือ Thin Plate Splines; TPS ขณะที่เทอมโดเมนอินทิกรัลจะถูกแปลงให้เป็นอินทิกรัลที่ขอบเขตโดยอาศัยเทคนิคของวิธีบาวดารีเอลิเมนต์ ผลเฉลยของปัญหาจึงหาได้จากสมการอินทิกรัลที่ขอบเขตซึ่งจะมีการแบ่งเอลิเมนต์เฉพาะที่ขอบเขตของปัญหาเท่านั้น จากการศึกษาสามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้ 1) การวิเคราะห์แผ่นพื้นโดยวิธีบาวดารีเอลิเมนต์มีความแม่นยำดีเยี่ยมเมื่อเทียบกับวิธีเชิงวิเคราะห์ 2) เงื่อนไขที่รองรับส่งผลโดยตรงกับพฤติกรรมของแผ่นพื้นเนื่องจากค่าความแข็งของที่รองรับที่แตกต่างกัน 3) จำนวนชั้นของฐานรากยืดหยุ่นมีอิทธิพลต่อผลการคำนวณเชิงตัวเลขของการตอบสนองของโครงสร้าง 4) ในการวิเคราะห์แผ่นพื้นที่มีรูปร่างซับซ้อน ผลการคำนวณจากวิธีบาวดารีเอลิเมนต์มีค่าสอดคล้องกับโปรแกรมไฟไนต์เอลิเมนต์</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256117 การศึกษาเปรียบเทียบคุณสมบัติทางไฟฟ้ากระแสสลับของลูกถ้วยพอร์ซเลนกับอนุภาคฝุ่นซีเมนต์และเกาลีนที่เคลือบผิว 2024-03-19T16:30:55+07:00 อัญญารัตน์ สอนสนาม [email protected] ธวัชชัย สอนสนาม [email protected] <p>ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันหลายพื้นที่ในประเทศไทยได้รับผลกระทบจากปริมาณฝุ่นที่มากขึ้น ปริมาณฝุ่นในอากาศที่เพิ่มขึ้นรวมถึงความรุนแรงของสภาพอากาศที่มีอนุภาคแขวนลอยปะปนอยู่เป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ฉนวนลูกถ้วยไฟฟ้ามีการนำไฟฟ้าที่สูงขึ้น บทความวิจัยนี้ได้นำเสนอการเปรียบเทียบคุณลักษณะของลูกถ้วยไฟฟ้าที่ถูกเคลือบผิวโดยซีเมนต์และเกาลีน ซึ่งตัวอย่างซีเมนต์ที่นำมาทดสอบกับลูกถ้วยนั้นได้มาจากเขตอุตสาหกรรมผลิตปูนซีเมนต์ จังหวัดสระบุรี ในประเทศไทย จากนั้นได้ทำการทดสอบการเปอะเปื้อนบนผิวโดยใช้ลูกถ้วยพอร์ซเลนเบอร์ 52-1 จากการทดสอบพบว่า แรงดันวาบไฟของฉนวนลูกถ้วยที่อนุภาคฝุ่นซีเมนต์เกาะบนผิวนั้นสูงกว่ากรณีของเกาลีน ในขณะที่กระแสรั่วไหลบนผิวฉนวนลูกถ้วยที่อนุภาคซีเมนต์เกาะบนผิวนั้นมีค่าต่ำกว่ากรณีของเกาลีน ส่วนการเปรียบเทียบหยดน้ำที่ปกคลุมบนผิวลูกถ้วยโดยใช้วิธีการตามมาตรฐานโดยการสเปร์น้ำสามารถบ่งชี้ได้ว่าลูกถ้วยฉนวนที่ผิวปกคลุมด้วยเกาลีนนั้นมีคุณสมบัติของน้ำที่เกาะบนผิวที่ดีกว่ากรณีของซีเมนต์เนื่องจากเกาลีนนั้นสามารถละลายน้ำได้ดีและมีขนาดอนุภาคที่เล็กกว่าซีเมนต์</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256118 การศึกษาภาพถ่ายรากพืชเพื่อวิเคราะห์หาความมั่นคงของลาดดิน 2024-03-19T16:34:54+07:00 วรกมล ศรีสุข [email protected] บรรพต กุลสุวรรณ [email protected] วรากร ไม้เรียง [email protected] <p>การสํารวจรากพืชเป็นปัจจัยหนึ่งที่สําคัญในการศึกษาแนวทางการป้องกันดินถล่มและวิเคราะห์เสถียรภาพของลาดดินโดยปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายอย่างแพร่หลายและเข้าถึงได้ง่าย จึงเหมาะสําหรับการนํามาประยุกต์ใช้เป็นวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลรากพืชแบบใหม่ โดยงานวิจัยนี้ทําการออกแบบวิธีการสํารวจโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายวิเคราะห์ข้อมูล และทดสอบกําลังรับแรงดึงของรากพืชในห้องปฏิบัติการ ซึ่งจะทําให้ได้ข้อมูลพิกัด ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอัตราส่วนหน้าตัดรากต่อหน้าตัดดิน ค่าความยึดเหนี่ยวของรากพืช กําลังรับแรงของรากพืช และทําการวิเคราะห์ความมั่นคงของลาดดินในกรณีที่มีรากพืชและไม่มีรากพืช พบว่าการวิเคราะห์ข้อมูลรากพืชจากภาพถ่ายสามารถวัดขนาดรากพืชได้เล็กที่สุดถึง 0.05 เซนติเมตร และมีความแม่นยําสูงถึง 95% ทั้งนี้ความแม่นยําในการวิเคราะห์ขึ้นอยู่กับการปรับแก้ภาพถ่าย และจากการวิเคราะห์ความมั่นคงของลาดดินพบว่าอัตราส่วนความปลอดภัยของลาดดินที่มีรากพืชสูงกว่าลาดดินที่ไม่มีรากพืช 27% ซึ่งวิธีการนี้เป็นวิธีที่เหมาะสําหรับการประยุกต์ใช้ในงานสนามเนื่องจากเป็นวิธีที่ประหยัด และขนย้ายขึ้นสู่พื้นที่สูงชันได้ง่าย</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256125 การศึกษาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทยบนแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก 2024-03-20T12:44:46+07:00 ศิวศิษฎ์ ปิจมิตร [email protected] ปริดา จิ๋วปัญญา [email protected] ภาคภูมิ ใจชมภู [email protected] <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ การศึกษาสถานการณ์ปัญหาปัจจุบันของโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทยตามเส้นทางตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor; EWEC) และวิเคราะห์ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพมี 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) คัดเลือกผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 2) การสัมภาษณ์แบบเจาะลึกรายบุคคล และ 3) การสนทนากลุ่มที่คัดเลือกแบบการสุ่มแบบเจาะจง รวมทั้งหมด 40 หน่วยงาน โดยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาโดยใช้การวิเคราะห์ SWOT PESTEL และ TOWS Matrix รวมถึงการนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ที่สามารถนำไปปฏิบัติเพื่อให้เกิดพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานได้ ซึ่งการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์เป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ดังนั้น จังหวัดที่ตั้งอยู่บริเวณเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจฯจึงถือเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่เชื่อมโยงการคมนาคม สาธารณูปโภค และการสาธารณสุข อันเป็นการส่งเสริมการค้าการลงทุน ระหว่างอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงได้เป็นอย่างดี จากการศึกษาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ของจังหวัดที่ตั้งอยู่บริเวณเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจฯของพบว่าเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่สามารถเชื่อมโยงการขนส่งรูปแบบอื่นๆ ได้ เช่น มีเส้นทางรถไฟตัดผ่าน เป็นเส้นทางสนับสนุนการท่องเที่ยว เป็นเส้นทางที่เชื่อมด่านชายแดนระหว่างประเทศพม่า ประเทศไทย และประเทศลาว ซึ่งเป็นประตูการค้าการลงทุนที่สำคัญ แต่ปัญหาความไม่สมบูรณ์ของระบบโครงสร้างพื้นฐานบนเส้นทางนี้ คือ บางช่วงยังมีสภาพเป็นทาง 2 ช่องจราจร มีการกระจุกตัวของสถานศึกษาในเขตเมือง เกิดการหลั่งไหลของแรงงานต่างด้าวทำให้กระทบต่อปัญหาสาธารณสุข การขาดการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำให้การดำเนินการล่าช้า เป็นต้น จากการวิเคราะห์ผลการศึกษาของเส้นทางได้มีข้อเสนอแนะแนวทางเชิงกลยุทธ์ เช่น การพัฒนาโครงข่ายเชื่อมโยงระบบขนส่ง การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมระหว่างเมือง การปรับปรุงโครงข่ายถนนให้มีความสะดวกปลอดภัย การสร้างเครือข่ายศูนย์ประสานงานบริการประชาชนเพื่อเชื่อมโยงข้อมูล การบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม เป็นต้น ดังนั้นควรมีการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรต่างๆ รวมทั้ง ผู้มีส่วนได้เสีย ที่จะต้องให้ตระหนักถึงความสำคัญของการปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256126 การออกแบบการทดลองปัจจัยรูปทรงฟลายวีลของระบบจัดเก็บสะสมพลังงานฟลายวีล 2024-03-20T12:54:17+07:00 อภิชิต เสมศรี [email protected] <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบการทดลองรูปทรงฟลายวีลของระบบกักเก็บพลังงานฟลายวีล ระหว่างฟลายวีลขอบหนากับฟลายวีลดิสก์ทรงกรวย โดยเปรียบเทียบจากปัจจัยรูปทรง : K เพื่อเลือกรูปแบบการใช้งานที่ดีที่สุด การออกแบบฟลายวีลจะใช้วัสดุเกรด SS400 และเพลารองรับฟลายวีลใช้วัสดุเกรด S45C จากนั้นนำรูปแบบของฟลายวีลมาจำลองด้วยโปรแกรม Solidwork Simulation และนำไปทดลองด้วยเงื่อนไขในสภาวะแบบไม่มีโหลด ผลการจำลองแสดงให้เห็นว่าค่าความเค้นสูงสุดของฟลายวีลและเพลารองรับฟลายวีลมีค่าต่ำกว่าความต้านทานแรงดึง งานวิจัยได้เปรียบเทียบข้อมูลจากคุณสมบัติทางกลของวัสดุทั้งสองชนิด ค่าความเครียดจะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนรูปในขณะทำงาน ระยะการบิดงอสูงสุดอยู่ที่บริเวณขอบด้านบนของฟลายวีลทรงกรวยและฟลายวีลขอบหนาจะมีค่าอยู่ในช่วง 1.020-1.134 มิลลิเมตร และ 0.763-0.848 มิลลิเมตร ตามลำดับ ค่าความปลอดภัยสำหรับฟลายวีลดิสก์ทรงกรวยมีค่าเท่ากับ 1.23 และฟลายวีลขอบหนามีค่าเท่ากับ 1.608 จากผลการทดลองเพื่อพิจารณาปัจจัยด้านเวลาการหมุนของฟลายวีล พบว่า ฟลายวีลดิสก์ทรงกรวยจะมีเวลาในการหมุนอยู่ที่ 180 วินาที และฟลายวีลขอบหนามีเวลาในการหมุนอยู่ที่ 120 วินาที ปัจจัยด้านความเร็ว พบว่าความเร็วในการหมุนที่ช่วงเวลาเดียวกันฟลายวีลดิสก์ทรงกรวยจะมีค่าความเร็วที่สูงกว่า ฟลายวีลขอบหนา ผลการศึกษาพบว่าฟลายวีลดิสก์ทรงกรวยจะมีความเหมาะสมมากที่สุดในการนำไปใช้งาน เนื่องจากมีการกักเก็บพลังงานในระยะยาวได้ดีกว่า ในการวิจัยครั้งต่อไปผู้วิจัยคาดการณ์สำหรับการทดลองที่จะทำให้การหมุนของฟลายวีลดิสก์ทรงกรวยสามารถกักเก็บพลังงานได้นานขึ้นและมีประสิทธิภาพทำงานได้อย่างต่อเนื่อง</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256127 แบบจำลองกำหนดการเชิงเส้นจำนวนเต็มแบบผสมสำหรับปัญหาการจัดตารางเวลาและการกำหนดเส้นทางของทีมช่างซ่อมบำรุงรถตัดอ้อย 2024-03-20T12:58:28+07:00 วรวีร์ ปัญญาคำ [email protected] กาญจนา เศรษฐนันท์ [email protected] กฤษณรัช นิติสิริ [email protected] <p>งานวิจัยนี้นำเสนอแบบจำลองกำหนดการเชิงเส้นจำนวนเต็มแบบผสมเพื่อวางแผนสำหรับการจัดตารางเวลาและกำหนดเส้นทางของทีมช่างซ่อมบำรุงรถตัดอ้อย โดยพิจารณาการวางแผนรายวันสำหรับทีมช่างซ่อมบำรุงทั้ง 2 ระบบ ซึ่งประกอบด้วย ระบบทางกลและไฮดรอลิก และระบบไฟฟ้า รถตัดอ้อยมีโอกาสที่จะได้รับบริการจากทั้ง 2 ระบบ ซึ่งการคิดเวลาแล้วเสร็จเหมือนกับการผลิตแบบเปิด (Open-shop production) โดยปกติโรงงานที่มีอำนาจในการแข่งขันทางธุรกิจสูง จำเป็นต้องลดต้นทุนการผลิตให้มีค่าต่ำที่สุด ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงานให้ต่ำที่สุด ซึ่งประกอบด้วย ต้นทุนการเดินทาง ค่าเสียโอกาสจากความล่าช้า ค่าล่วงเวลาและค่าจ้างผู้บริการภายนอก ขั้นตอนวิจัยเริ่มจากการสร้างแบบจำลองกำหนดการเชิงเส้นจำนวนเต็มแบบผสม จากนั้นนำเข้าข้อมูลพารามิเตอร์จากโรงงานกรณีศึกษา แล้วเปรียบเทียบผลที่ได้กับผลของวิธีการวางแผนในปัจจุบัน ผลการวางแผนสำหรับการจัดตารางเวลาและการกำหนดเส้นทางของทีมช่างจากแบบจำลองกำหนดการเชิงเส้นจำนวนเต็มแบบผสมทำให้ต้นทุนการดำเนินงานเฉลี่ยลดลง 33.62 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับวิธีวางแผนในปัจจุบัน แบบจำลองนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานบริการอื่นๆ ที่ต้องเดินทางและใช้ทีมบริการ 1 ทีมขึ้นไปเพื่อให้บริการกับลูกค้าได้</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256128 ประสิทธิภาพของคานคอมโพสิตสำเร็จรูปภายใต้แรงดัดในภาวะใช้งานและภาวะสุดขีด 2024-03-20T13:03:50+07:00 อัฟฟาน กาซอ [email protected] กัญจน์ ศรีสุวรรณ [email protected] นิติศักดิ์ หมัดเด็น [email protected] ทนงศักดิ์ อิ่มใจ [email protected] จักรพล ทิพย์สุวรรณ [email protected] <p>งานวิจัยนี้ศึกษาทำการทดลองและเชิงตัวเลขตรวจสอบประสิทธิภาพของคานคอมโพสิตสำเร็จรูปที่ทำจากเหล็กแผ่นรีดร้อนและคอนกรีต การผสมผสานระหว่างเหล็กและคอนกรีตทำได้โดยรูปแบบการตัดแผ่นเอวที่คานเหล็กที่แตกต่างกันรูปร่างของการตัด มีสามแบบประกอบด้วย การตัดครีบฉลาม (SF-cut) การตัดเดือย (TN-cut) และก้นหอย (MCL-cut) เพื่อสร้างคานคอนกรีตสำเร็จรูป จากผลการทดสอบคานเสริมเหล็กคอมโพสิตหน้าตัด MCL-cut มีความสามารถในการรับน้ำหนักบรรทุก และรับโมเมนต์สูงสุด รองลงมาเป็น SF-cut และ TN-cut จากศึกษาประสิทธิภาพของคานทดสอบเมื่อพิจารณาค่าการโก่งตัวที่กลางคานต่อน้ำหนักบรรทุกของคานคอมโพสิตทั้งสามแบบแล้ว SB-1(TN-cut) มีค่ามากที่สุด รองลงมา คือ SB-2(SF-cut) และที่น้อยที่สุด คือ SB-3(MCL-cut) ดังนั้น SB-3(MCL-cut) ที่มีค่าการโก่งตัวที่กลางคานน้อยที่สุดจึงเป็นคานคอมโพสิตที่ดีที่สุด การทำนายค่าโมเมนต์ดัดประลัยจากการวิเคราะห์แบบจำลองทางไฟไนต์เอลิเมนต์ที่ใช้การจำลองการวิบัติของคอนกรีตแบบ CDP Model (Concrete Damaged Plasticity) สำหรับคานคอมโพสิตให้ผลการทำนายใกล้เคียงกับผลการทดสอบที่น้ำหนักสูงสุด และมีค่าน้อยกว่าผลที่ได้จากการทดสอบหลังจากน้ำหนักสูงสุด 5%</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kmutnb-journal/article/view/256129 สายอากาศกราไฟต์โมโนโพลแบบระนาบสองย่านความถี่ ที่โค้งงอได้และมีต้นทุนต่ำสำหรับประยุกต์ใช้งาน GSM/ITM/WLAN/LTE/X-band 2024-03-20T13:53:50+07:00 สุวัฒน์ สกุลชาติ [email protected] อำนวย เรืองวารี [email protected] วัชรพล นาคทอง [email protected] วรนุศย์ ทองพูล [email protected] <p>งานวิจัยนี้นำเสนอการออกแบบและสร้างสายอากาศโมโนโพลแบบระนาบที่โค้งงอได้และมีต้นทุนต่ำ ด้วยแผ่นกราไฟต์ที่สร้างจากส่วนผสมของผงกราไฟต์กับกาวเอนกประสงค์ การดำเนินการเริ่มจากออกแบบสายอากาศโมโนโพลรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าพื้นฐาน จากนั้นนำมาปรับจูนโครงสร้างด้วยเทคนิคการเซาะร่องที่ระนาบกราวด์และเพิ่มสตับที่บริเวณขอบด้านล่างของตัวแผ่พลังงาน การปรับโครงสร้างดังกล่าวส่งผลทำให้สายอากาศที่ปรับจูนโครงสร้างสามารถรองรับการใช้งานย่านความถี่เพิ่มขึ้นจากเดิมจากหนึ่งย่านความถี่เป็นสองย่านความถี่ คือย่านความถี่ต่ำ 1.72–4.29 กิกะเฮิรตซ์ และย่านความถี่สูง 4.59–9.09 กิกะเฮิรตซ์ ความถี่ใช้งานของสายอากาศทั้งสองย่านครอบคลุมการประยุกต์ใช้งานระบบ GSM ITM WLAN LTE41 และย่านความถี่ X-band ของระบบการสื่อสารย่านดาวเทียม ผลการวัดทดสอบพบว่าสายอากาศต้นแบบมีแบบรูปการแผ่พลังงานเป็นแบบรอบทิศทางในระนาบเดียว มีเกณฑ์การขยายเฉลี่ย 1.91 เดซิเบล และ 1.97 เดซิเบล ที่ย่านความถี่ต่ำ 2.45 กิกะเฮิรตซ์ และย่านความถี่สูง 5.8 กิกะเฮิรตซ์ ตามลำดับ</p> 2024-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024