https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kbej/issue/feedวิศวกรรมสารเกษมบัณฑิต2025-08-29T15:35:04+07:00Anuchit Chareanengkasemjournal@kbu.ac.thOpen Journal Systems<p>วิศวกรรมสารเกษมบัณฑิตจัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยและพัฒนา ผลงานวิชาการ ตลอดจนองค์ความรู้ทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ของอาจารย์ นักวิชาการอิสระและวิศวกรทั่วไป และเป็นสื่อกลางระหว่างมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตกับสังคมภายนอกในการเผยแพร่ความรู้ต่างๆ ด้านวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อให้เป็นฐานความรู้อันจะนำไปสู่การพัฒนาด้านวิศวกรรมต่อไป โดยมีกำหนดตีพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ ออกเป็นราย 4 เดือน (ประจำเดือนมกราคม-เมษายน เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม และเดือนกันยายน-ธันวาคม)</p>https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kbej/article/view/260830การลดจำนวนแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้วยการออกแบบและวิเคราะห์การทดลอง2025-02-16T15:54:29+07:00รชฏ ยิ้มแย้ม6614940009@rumail.ru.ac.thนิธิเดช คูหาทองสัมฤทธิ์nitidetch.k@rumail.ru.ac.th<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลดปริมาณแบตเตอรี่ที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดในกระบวนการผลิตแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์รุ่น A7 โดยกระบวนการผลิตมีปัญหาค่าความต้านทานภายในแบตเตอรี่เกินมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งเกิดจากการตั้งแรงดันกดชุดเซลล์ ระยะหยุด และมุมขอบตัวรับชุดเซลล์ที่ไม่เหมาะสม เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวงานวิจัยนี้ได้ใช้การออกแบบการทดลองแฟกทอเรียล 2<sup>k </sup>เพื่อหาสภาวะที่เหมาะสมของกระบวนการผลิต ผลการวิจัยพบว่าปัจจัยทั้งหมดมีอิทธิพลหลักและอิทธิร่วมซึ่งส่งผลต่อค่าความต้านทานภายใน โดยควรกำหนดแรงดันกดชุดเซลล์เท่ากับ 5 เมกะปาสคาล ระยะหยุดเท่ากับ 24.25 มิลลิเมตร และมุมขอบตัวรับชุดเซลล์เท่ากับ 14 องศา เมื่อนำผลการวิจัยไปทดลองใช้จริงพบว่าสภาวะการผลิตที่เหมาะสมทำให้ค่าความต้านทานภายในเฉลี่ยไม่เกิน 1.15 มิลลิโอห์ม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากการนำผลลัพธ์การวิจัยไปใช้กับกระบวนการผลิตแบตเตอรี่รุ่น A7 ผลลัพธ์จากการวิจัยนี้ทำให้มูลค่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากข้อบกพร่องแบตเตอรี่ที่ไม่ตามที่กำหนดเฉลี่ยเหลือเพียง 10,784 บาทต่อเดือน คิดเป็นการลดลงร้อยละ 64.14 เมื่อเทียบกับมูลค่าความสูญเสียก่อนการปรับปรุง</p>2025-08-29T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตhttps://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kbej/article/view/259835การหาพารามิเตอร์ของระบบระดับความเสรีขั้นเดียวไม่เชิงเส้นที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการสั่นสะเทือนด้วยกระแสหมุนวนของกระแสลม2024-12-09T12:56:22+07:00ปริญญา บุญมาเลิศparinya.boo@kbu.ac.thธนู ฉุยฉายthanu.cho@kbu.ac.thทิพวัลย์ เพชรรักthippawan.phe@kbu.ac.thวันชนะ ณรงค์ฤทธิเดชwanchana.nar@kbu.ac.thนันท์ชนก หาญตะคุnunchanok.han@kbu.ac.th<p>งานวิจัยนี้นำเสนอวิธีการหาพารามิเตอร์ไม่เชิงเส้นของโครงสร้างที่เกิดการสั่นสะเทือนเนื่องจากถูกเหนี่ยวนำด้วยกระแสหมุนวนของกระแสลมที่พัดผ่านและแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของความถี่ธรรมชาติของระบบที่ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์แบบเชิงเส้นและระบบที่ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ไม่เชิงเส้น ในงานวิจัยนี้ได้เลือกใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของสแกนแลน ซึ่งเป็นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ไม่เชิงเส้นซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เชิงเส้น ส่วนการหาพารามิเตอร์ไม่เชิงเส้นของระบบได้นำอนุกรมของวอลเตอร์รามาประยุกต์ใช้ โดยใช้เป็นแนวทางในการออกแบบเพื่อให้ได้ความถี่ธรรมชาติที่เหมาะสมตามต้องการ ผลการคำนวณตามตัวอย่างบางส่วนของสแกนแลน พบว่าการหาพารามิเตอร์ด้วยวิธีของแสกนแลน ได้ผลการคำนวณที่ถูกต้อง ส่วนพารามิเตอร์ของความแข็งตึงของอากาศที่ปรับปรุงเพิ่มเข้ามาสามารถหาได้ด้วยวิธีหาค่าความถี่ธรรมชาติแบบหน่วงโดยการประยุกต์ใช้อนุกรมของวอลเตอร์รา พบว่าผลการคำนวณ<br />มีค่าถูกต้องเช่นกัน จากค่าพารามิเตอร์สมมติที่ใช้ในการคำนวณพบว่าความถี่ธรรมชาติของระบบที่ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์เชิงเส้นมีค่า 84.01 rad/sec เมื่อเทียบกับความถี่ธรรมชาติของระบบที่ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ไม่เชิงเส้นมีค่า 85.18 rad/sec ซึ่งมีความแตกต่างกัน 1.37% ความแตกต่างที่เกิดขึ้นจากแบบจำลองไม่เชิงเส้นได้รวมเอาค่าความแข็งตึงของอากาศขณะที่โครงสร้างเกิดการสั่นสะเทือนเข้าไปด้วย จึงทำให้ความถี่ธรรมชาติของระบบไม่เชิงเส้นมีค่ามากกว่าค่าความถี่ของระบบเชิงเส้นที่มีแต่ค่าความแข็งตึงของโครงสร้างเพียงอย่างเดียว จากหลักการนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายของโครงสร้างที่เกิดการสั่นสะเทือนที่ความถี่ธรรมชาติ เมื่อเกิดการสั่นสะเทือนที่เกิดจากลม หรือนำการสั่นสะเทือนไปใช้ให้เป็นประโยชน์ เช่น การผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมแบบไร้ใบพัดเพื่อกำหนดความถี่ของกรแสไฟฟ้าที่แม่นยำ เป็นต้น</p>2025-08-29T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตhttps://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kbej/article/view/262127TRAVELING SALESMAN PROBLEM FOR OPTIMAL TOURIST ROUTE IN AYUTTHAYA 2025-05-17T15:00:52+07:00Tantikorn Pichpibultantikorn.p@bu.ac.thNareerat Prechatavanitchakulnareerat.pr@spu.ac.th<p>This paper explores the traveling salesman problem (TSP) in the context of planning one-day trips for travelers to historical, cultural, and ecotourism sites in Ayutthaya Province, Thailand. A cloud-based decision-making software was introduced to address this issue which combines the Clarke-Wright algorithm with the honey bees mating optimization algorithm. Through experimental evaluations on TSP benchmark problems and real-world traveler data, it was found that the proposed method is on par with some of the leading existing algorithms. As a result, travelers can effectively plan optimal tourist routes.</p>2025-08-29T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตhttps://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kbej/article/view/258370AXIAL COMPRESSION BEHAVIOR IN BRICK MASONRY WALLS: A COMBINED EXPERIMENTAL AND ANALYTICAL STUDY2024-09-17T23:59:19+07:00Muhammad Zohaib Asimmuhammad.zohaib@nutech.edu.pkAdnan NawazPakistanadnannawaz@ciitwah.edu.pkTahir Mehmooddrtahir.mehmood@ciitwah.edu.pkAli Siddiquealisiddique@nutech.edu.pkSajid Rasheedsajidrasheed@nutech.edu.pkAsim Sultanasim.sultan@nutech.edu.pk<p>In construction most of the buildings are constructed using brick as a load carry element while there are no standard guidelines and references to practice during preparation of bricks. There is no documented performance sheet available for the mechanical properties of bricks. In this study, bricks using different type of soil as per geological map of Pakistan manufactured by the conventional and zigzag technology are investigated for their mechanical properties. For the comparative analysis of the mechanical properties for the said brick types, 15 masonry prisms along with 10 masonry walls are constructed and investigated for the axial compression. Digital image correlation (DIC) is used to cross-validate the results of deformations measured with linear variable displacement transducer (LVDTs). Furthermore, software models using Abacus are used to correlate the damage analytically. It was observed that zig-zag bricks have more compressive strength than all other conventional bricks although bricks manufactured in Peshawar performed better than other counterparts. The results of this study can be used for designing the experimental program and effective decision-making techniques for mechanical properties of bricks in midrise masonry structure.</p>2025-08-29T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตhttps://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kbej/article/view/260798การประเมินการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และประสิทธิภาพพลังงานจากกระบวนการผลิตเชื้อเพลิงอัดแท่งจากใบสับปะรดศรีราชา2025-05-22T10:05:42+07:00ณรงค์ ชัยสงเคราะห์narong_ch@rmutto.ac.thศรีกุลณัฐ นิลโนรีsrikulnath.ni@g.sut.ac.thศศิธร สรรพ่อค้าsasithorn_su@rmutto.ac.th<p>งานวิจัยนี้ศึกษาการปลดปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO<sub>2</sub>) และประสิทธิภาพพลังงานจากการใช้ใบสับปะรดศรีราชามาผลิตเป็นเชื้อเพลิงอัดแท่ง ได้แก่ ชีวมวลอัดแท่ง ชีวมวลทอร์ริฟายด์อัดแท่ง และถ่านชีวภาพอัดแท่งที่ผลิตในระดับห้องปฏิบัติการเปรียบเทียบกับระดับภาคสนาม จากผลการวิจัยพบว่าการผลิตชีวมวลอัดแท่งมีการปลดปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำและประสิทธิภาพพลังงานสูง โดยคิดเป็น 2.31 kgCO<sub>2</sub>-eq และ 52.38% ตามลำดับ แต่เชื้อเพลิงมีค่าความร้อนต่ำ หากใช้เป็นเชื้อเพลิงจำเป็นต้องใช้ชีวมวลอัดแท่งปริมาณมาก ในขณะที่การผลิตชีวมวลทอร์ริฟายด์อัดแท่งและถ่านชีวภาพอัดแท่ง ทำให้เชื้อเพลิงมีค่าความร้อนสูงกว่า แต่การปลดปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์มีค่ามากขึ้นและประสิทธิภาพพลังงานต่ำลง เนื่องจากการใช้พลังงานมากในการสลายตัวทางความร้อนของชีวมวล โดยเฉพาะการผลิตถ่านชีวภาพด้วยกระบวนการไพโรไลซิสซึ่งดำเนินการที่อุณหภูมิสูง เมื่อมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตถ่านชีวภาพเป็นระดับภาคสนาม ด้วยเตาเผาขนาด 200 ลิตร ที่มีการระบายแก๊สชีวมวลซึ่งเป็นสารระเหยที่ถูกปลดปล่อยออกจากกระบวนการไพโรไลซิส มาควบแน่นเป็นน้ำส้มควันไม้ และหมุนเวียนแก๊สส่วนที่เหลือที่ไม่สามารถควบแน่นได้ มาเป็นแก๊สเชื้อเพลิงร่วม พบว่ามีประสิทธิภาพพลังงานของกระบวนการสูงกว่ากรณีการผลิตถ่านชีวภาพระดับห้องปฏิบัติการอัดแท่ง ที่ไม่มีการหมุนเวียนแก๊สชีวมวลมาใช้ แสดงให้เห็นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีการปลดปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่ากระบวนการอื่น เนื่องจากการกักเก็บคาร์บอนบางส่วนในรูปของผลิตภัณฑ์พลอยได้ คือ น้ำส้มควันไม้ และการลดปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้ในการให้ความร้อน รวมถึงยังสามารถใช้ถ่านชีวภาพเป็นวัสดุกักเก็บคาร์บอนโดยการใช้เป็นวัสดุปรับปรุงดิน โดยผลการศึกษานี้สามารถใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการพิจารณาแนวทางการผลิตเชื้อเพลิงอัดแท่งให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การผลิตและใช้งาน ในระดับห้องปฏิบัติการตลอดจนอุตสาหกรรม</p>2025-08-29T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตhttps://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kbej/article/view/261554การศึกษาการผลิตถ่านอัดแท่งจากวัสดุเหลือทิ้งจากกระบวนการแปรรูปมะขามเปรี้ยวยักษ์2025-04-11T13:49:11+07:00สรวิศ สอนสารีsorawitsonsaree@gmail.comฐิติพร เจาะจงTitiporn_ant@psru.ac.th<p>งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาการผลิตถ่านอัดแท่งจากวัสดุเหลือทิ้งจากกระบวนการแปรรูปมะขามเปรี้ยวยักษ์ ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนมะขามเปรี้ยวยักษ์ ตำบลวังนกแอ่น อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ผลการศึกษาพบว่า อัตราส่วนผสม เปลือก/เมล็ด : แป้งมันสำปะหลัง : น้ำ เท่ากับ 1 : 0.05 : 0.5 เป็นอัตราส่วนผสมที่เหมาะสมในการอัดแท่ง เนื่องจากเป็นอัตราส่วนที่สามารถขึ้นรูปได้และคงรูปได้ดี ภายใต้มาตรฐานทดสอบ ASTM คือ ค่าความร้อน (ASTM D3286) ปริมาณความชื้น (ASTM D3173) ปริมาณเถ้า (ASTM D3174) และปริมาณสารระเหย (ASTM D3175) เมล็ดมะขามเปรี้ยวยักษ์เมื่อนำมาทำเป็นเชื้อเพลิงถ่านอัดแท่งจะให้ค่าความร้อน ปริมาณความชื้น ปริมาณเถ้า และปริมาณสารระเหย เท่ากับ 6,468.14 cal/g, 0.09%, 5.04% และ 91.95% ตามลำดับ เปลือกมะขามเปรี้ยวยักษ์เมื่อนำมาทำเป็นเชื้อเพลิงถ่านอัดแท่งจะให้ค่าความร้อน ปริมาณความชื้น ปริมาณเถ้า และปริมาณสารระเหย เท่ากับ 6,812.73 cal/g, 0.05%, 6.19% และ 84.33% ตามลำดับ และเมื่อนำผลการทดสอบมาเปรียบกับค่ามาตรฐานแสดงให้เห็นว่าสามารถนำเปลือกและเมล็ดมะขามมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงเพื่อใช้งานได้</p>2025-08-29T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตhttps://ph01.tci-thaijo.org/index.php/kbej/article/view/262467MIXED-INTEGER LINEAR PROGRAMMING MODEL FOR PRODUCTION PLANNING AND LABOR ALLOCATION IN THE MELON FARM2025-06-09T12:05:47+07:00Aekachai Pantongaekachaip65@nu.ac.thSirikarn Chansombutsirikarnc@nu.ac.th<p>This research investigates the optimization of the melon supply chain, aiming to minimize production costs through the development of a mixed-integer linear programming (MILP) model. The framework addresses key inefficiencies in current practices, such as suboptimal cultivation scheduling, inefficient labor allocation, and excessive reliance on outsourced workers, by integrating critical decision variables, including planting schedules, harvesting timelines, and workforce planning. The proposed model enables systematic and data-driven management of greenhouse farming operations. Computational experiments using Premium Solver V2023 demonstrate the model’s practical effectiveness, achieving a total production cost of 134,400 THB, which represents a 10.16% reduction compared to manual planning, while maintaining production efficiency. These results highlight the potential of mathematical optimization in supporting sustainable agricultural practices and enhancing decision-making processes. Ultimately, the framework functions as a valuable decision-support tool for both farmers and agribusiness managers in optimizing resource allocation and production.</p>2025-08-29T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต