วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru <p>วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่บทความวิจัย (Research Article) และบทความวิชาการ (Review Article) ของคณาจารย์ นักศึกษา และนักวิชาการทั้งภายในและภายนอกสถาบัน วารสารฯ ยินดีรับบทความที่มีขอบเขตเนื้อหาเกี่ยวข้องในศาสตร์ทางด้านวิศวกรรมศาสตร์แขนงต่าง ๆ (Engineering) วิทยาการคำนวณ (Computer Science) และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Environmental Science) โ<strong>ดยทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มาจากหลากหลายสถาบัน ไม่น้อยกว่า 3 ท่านต่อหนึ่งบทความ โดยการประเมินเป็นในลักษณะของ Double-Blind Peer Review</strong></p> <p>วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีเริ่มตีพิมพ์เป็นเอกสารเมื่อปี พ.ศ.2561 (ISSN 2651-1282 (Printed)) และเริ่มเผยแพร่ในรูปของวารสารอิเล็กทรอนิกส์ (e-Journal) อย่างเป็นทางการในฐานะ Online Open Access Journal ผ่านระบบ ThaiJo เมื่อปี พ.ศ.2561 (ISSN 2651-1290 (Online))</p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารฯ ท้ังในรูปแบบของรูปเล่มและอิเล็กทรอนิกส์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารฯ</p> ind-journal@ubru.ac.th (ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุระเจตน์ อ่อนฤทธิ์) ind-journal@ubru.ac.th (คุณกติยาภรณ์ เรืองสถาน) Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 อัตราภาระบรรทุกสารอินทรีย์ที่เหมาะสมของระบบผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ำเสีย ในกระบวนการล้างหนอนแมลงวันลายที่เลี้ยงด้วยกากถั่วเหลือง https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/256003 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาอัตราภาระบรรทุกสารอินทรีย์ที่เหมาะสมสำหรับการบำบัดน้ำเสียจากกระบวนการล้างหนอนแมลงวันลายที่เลี้ยงด้วยกากถั่วเหลืองร่วมกับหัวเชื้อสารข้นเหลวจากระบบผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มสุกรโดยระบบผลิตก๊าซชีวภาพแบบฝาครอบลอยร่วมกับการกวนผสมด้วยก๊าซชีวภาพ ซึ่งกำหนดอัตราภาระบรรทุกสารอินทรีย์เข้าสู่ระบบที่ 1.00 2.00 และ 3.00 กก.ซีโอดี/ลบม./วัน ตามลำดับ ระยะเวลาเก็บกักน้ำเสียในระบบ 20 วัน ทดลองในสภาวะอุณหภูมิแวดล้อมทั่วไปและวัดค่าปริมาณก๊าซชีวภาพและสัดส่วนมีเทนระหว่างการทดลอง ผลการทดสอบพบว่าอัตราภาระบรรทุกสารอินทรีย์ทั้ง 3 ระดับ สามารถผลิตก๊าซชีวภาพสะสมเฉลี่ยอยู่ที่ 1,214.17 1,716.04 และ 1,714.48 ลิตร ตามลำดับ และสัดส่วนก๊าซมีเทนเฉลี่ยร้อยละ 66.64 69.02 และ 67.22 ตามลำดับ ซึ่งการทดลองที่อัตราการเติม 2.00 กก.ซีโอดี/ลบม./วัน เป็นอัตราการเติมในระดับที่เหมาะสมที่สุด ทำให้เกิดการย่อยสลายสารอินทรีย์ได้มีประสิทธิภาพในการกำจัดปริมาณซีโอดีสูงถึงร้อยละ 66.29 นอกจากนี้ยังสามารถกำจัดของแข็งทั้งหมดอยู่ที่ร้อยละ 65.95 และกำจัดของแข็งระเหยง่ายได้ร้อยละ 81.15 ซึ่งเป็นสภาวะที่มีความเหมาะสมมีประสิทธิภาพในการบำบัดสารอินทรีย์สูงที่สุด สามารถนำไปศึกษาต่อในระบบก๊าซชีวภาพที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และสามารถลดผลกระทบของน้ำเสียรวมทั้งมลพิษทางน้ำที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อม</p> สุรเดช รุ่งทอง, กิตติกร สาสุจิตต์, ภคมน ปินตานา, วงศ์พันธ์ พรหมวงศ์, รจพรรณ นิรัญศิลป์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/256003 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700 การออกแบบเครื่องลดความชื้นข้าวเปลือกหลังการเก็บเกี่ยว กรณีศึกษา : ชุมชนบ้านเอก ตำบลหญ้าปล้อง อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/253446 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อออกแบบและสร้างเครื่องลดความชื้นข้าวเปลือกหลังการเก็บเกี่ยว ให้เหลือความชื้น 14 เปอร์เซนต์ 2) เพื่อหาประสิทธิภาพเครื่องลดความชื้นข้าวเปลือกหลังเก็บเกี่ยว วิธีการดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน 1) ศึกษาพัฒนาเครื่องลดความชื้นข้าวเปลือก ออกแบบและสร้างนวัตกรรมการลดความชื้นสำหรับข้าวเปลือกหลังเก็บเกี่ยว ใช้เครื่องยนต์รถไถเดินตามขนาด 11.5 แรงม้าเป็นต้นกำลังกระจายแรง ส่วนประกอบหลักคือ ถังควบคุมอุณหภูมิรูปทรงกระบอกปลายกรวย ชุดสกรูลำเลียงข้าวเปลือก ชุดจ่ายลมร้อน ชุดบังคับทิศทางข้าวเปลือกออกจากระบบ ปริมาณข้าวเปลือกสำหรับการทดสอบ 200 กิโลกรัม และประเมินผลประสิทธิภาพ 2) เผยแพร่นวัตกรรมโดยใช้วิธีการถ่ายทอดให้แก่กลุ่มเกษตรกร ผลการวิจัยพบว่าสามารถลดความชื้นเมล็ดข้าวเปลือกหลังการเก็บเกี่ยวเหลือความชื้นโดยเฉลี่ย 14 เปอร์เซ็นต์ ในเวลาโดยเฉลี่ย 210 นาที ปริมาณก๊าซที่ใช้เฉลี่ย 900 กรัมต่อชั่วโมง ปริมาณน้ำมันที่ใช้เฉลี่ย 1.2 ลิตรต่อชั่วโมง มูลค่าพลังงานที่ใช้ทั้งสิ้น 65 บาทต่อชั่วโมง คิดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานต่อรอบการผลิต 227.5 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีดั้งเดิม พบว่าประสิทธิภาพการลดความชื้นด้วยการใช้นวัตกรรมลดความชื้น สามารถลดเวลาการลดความชื้นดีกว่าวิธีดั้งเดิมและผลประเมินของกลุ่มเป้าหมาย ด้านรูปแบบ คะแนนความพึงพอใจ 4.55 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.46 ด้านการใช้สอย คะแนนความพึงพอใจ 4.19 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.39 ด้านโครงสร้างคะแนนความพึงพอใจ 4.55 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.37 ภาพรวมของผลการประเมินทุกด้านระดับคะแนนความพึงพอใจ 4.43 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.41 ความพึงพอใจอยู่ในระดับมากอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> วชิรศักดิ์ เขียนวงศ์, จุฬาลักษณ์ จารุจุฑารัตน์, ภาษิต ทินนาม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/253446 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700 นวัตกรรมอุปกรณ์การวัดระยะทางเพื่อประยุกต์ใช้ในการแข่งขัน กรีฑาประเภทลาน (กระโดดไกล) https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/253037 <p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อออกแบบนวัตกรรมอุปกรณ์การวัดระยะทางเพื่อประยุกต์ใช้ในแข่งขันกระโดดไกล 2) เพื่อหาประสิทธิภาพนวัตกรรมอุปกรณ์การวัดระยะทางเพื่อประยุกต์ใช้ใน การแข่งขัน กระโดดไกล ในการนี้ผู้วิจัยได้ทำการออกแบบและตกผลึกทางความคิดโดยการนำเอาอะคริลิคมาใช้ในการทำนวัตกรรม เนื่องจากน้ำหนักเบาและแข็งแรง โดยใช้ทฤษฎีและหลักการสร้างเครื่องมือซึ่งจะต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ มีการวางแผนล่วงหน้า และดำเนินการทดสอบใช้เครื่องมือทดสอบ ตลอดจนประเมินผลเพื่อการปรับปรุงแก้ไข โดยมีระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาออกแบบนวัตกรรมอุปกรณ์การวัดระยะเพื่อประยุกต์ใช้การวัดระยะ ทางและหาคุณภาพของอุปกรณ์ดังนี้ โดยวิธีของโรวิเนลลี่และแฮมเบิลตัน ให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 ท่าน พิจารณาคุณสมบัติของนวัตกรรมอุปกรณ์การวัดระยะ แล้วนำมาคำนวณหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างนวัตกรรมเครื่องวัดระยะทางการแข่งขันกระโดดไกลกับจุดประสงค์ ของการให้คะแนนของผู้เชี่ยวชาญและความเชื่อถือได้และได้ทำการปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดสอบความคงที่ของระยะทางโดยทำการวัดเปรียบเทียบรายคู่ ระหว่างนวัตกรรมเครื่องวัดระยะทางการแข่งขันกระโดดไกลกับตลับเมตร ผลการวิจัยพบว่า มีค่าดัชนีความสอดคล้องกับระยะทางของตลับเมตรเท่ากับ 1.00 ทุกรายการ และมีความเที่ยงตรงเฉพาะหน้า มีค่ามากกว่า 0.5 และเมื่อนำนวัตกรรมอุปกรณ์การวัดระยะเพื่อประยุกต์ใช้การวัดระยะทางการแข่งขันกระโดดไกลและตลับเมตรมาทดสอบสนามแข่งขันจริง ปรากฏว่าการทดสอบของเครื่องมือทั้ง 2 ชนิด ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ ซึ่งมีความแม่นยำและสามารถใช้ในการแข่งขันได้ตามมาตรฐานสากล</span></p> อริญชย์ พรหมเทพ, กรีฑา พรหมเทพ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/253037 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700 การกำจัดสารอินทรีย์ในน้ำทิ้งจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีโดยกระบวนการสร้างตะกอนร่วมกับเยื่อกรองแบบนาโน https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/256314 <p><span style="font-weight: 400;">งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาการประยุกต์ใช้สารสร้างตะกอนร่วมกับเยื่อกรองแบบนาโน สำหรับกำจัดสารอินทรีย์ในน้ำทิ้งจากระบบบำบัดน้ำเสียในมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี แผ่นเยื่อกรองนาโนที่ใช้ผลิตจาก GE Water &amp; Process Technologies รุ่น HL4040HM การทดลองเป็นการกรองภายใต้ชุดทดสอบการไหลตายตัว ปัจจัยที่ศึกษา คือ (1) ชนิดของสารสร้างตะกอน ได้แก่ อลูมิเนียมซัลเฟตและเฟอริกคลอไรด์ (2) ค่าพีเอชสารละลายเท่ากับ 4 - 10 (3) ความเข้มข้นของสารสร้างตะกอนเท่ากับ 10 - 50 mg/L และ (4) ความเข้มข้นสารอินทรีย์ในน้ำทิ้งเท่ากับ 5 - 15 mg/L ความดันการกรองในการดำเนินระบบคงที่เท่ากับ 60 psi ถูกใช้ในชุดทดลองเยื่อกรองแบบนาโน จากผลการศึกษาพบว่าสารอลูมิเนียมซัลเฟตที่ค่าพีเอช 10 เป็นค่าที่เหมาะสมในการกำจัดความขุ่นสูงสุดประมาณร้อยละ 68.18 ขณะที่สารเฟอริกคลอไรด์ที่ค่าพีเอช 4 มีประสิทธิภาพที่ดีในการกำจัดความขุ่นสูงสุดประมาณร้อยละ </span><span style="font-weight: 400;">75.69</span><span style="font-weight: 400;"><br /></span><span style="font-weight: 400;">ความเข้มข้นของสารสร้างตะกอนทั้งสองชนิดที่ 40 mg/L ให้ค่าการกำจัดสารอินทรีย์สูงสุด สำหรับผลร่วมของกระบวนการสร้างตะกอนและเยื่อกรองแบบนาโน พบว่าการเพิ่มความเข้มข้นสารอินทรีย์ในน้ำทิ้งจาก 5, 10 และ 15 mg/L ส่งผลให้ค่าฟลักซ์ลดลงตลอดช่วงระยะเวลาการกรอง ประสิทธิภาพในการกำจัดสารอินทรีย์ในน้ำทิ้งหลังผ่านการสร้างตะกอนร้อยละ 96.13, 96.16 และ 96.90 ตามลำดับ สำหรับอลูมิเนียมซัลเฟตร่วมกับเยื่อกรองแบบนาโน ร้อยละ </span><span style="font-weight: 400;">96.08, 93.76 และ 93.28 ตามลำดับ</span><span style="font-weight: 400;"> สำหรับเฟอริกคลอไรด์ร่วมกับเยื่อกรองแบบนาโน</span></p> อภิญญา อ่อนสาร, สุพัฒน์พงษ์ มัตราช, วิภาดา เดชะปัญญา, กรรณิกา รัตนพงศ์เลขา, เทียมมะณีย์ รัตนวีระพันธ์, สมภพ สนองราษฎร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/256314 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700 การออกแบบเครื่องเรือนอเนกประสงค์เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย สำหรับที่อยู่อาศัยขนาดเล็ก https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/256751 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์วิจัย 1) เพื่อศึกษาความต้องการของผู้บริโภคที่เหมาะสมต่อพื้นที่พักอาศัยขนาดเล็ก 2) เพื่อออกแบบเครื่องเรือนอเนกประสงค์ที่เหมาะสมต่อการใช้งานและศึกษาความพึงพอใจของผู้บริโภค 3) เพื่อผลิตต้นแบบและทดสอบให้เทียบเท่าตามมาตรฐาน มอก.เอส 107-2563 การวิจัยนี้ใช้วิธีการสำรวจและสัมภาษณ์เพื่อศึกษาความต้องการของผู้บริโภค และใช้การทดลองในขั้นตอนการผลิตและทดสอบต้นแบบ จากการศึกษาความต้องการของผู้บริโภค พบว่าปัญหาที่พบบ่อยที่สุดคือพื้นที่ใช้สอยที่จำกัด ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน และห้องรับแขกเป็นพื้นที่ที่ใช้งานได้มากที่สุด และรูปแบบเครื่องเรือนอเนกประสงค์ ได้แก่ โต๊ะกลางผสมผสานกับโต๊ะทานอาหารและโต๊ะทำงาน และจากการสอบถามรูปแบบของเครื่องเรือนจากผู้เชี่ยวชาญ พบว่ารูปแบบเครื่องเรือนอเนกประสงค์ที่เหมาะสมกับที่อยู่อาศัยขนาดเล็กควรมีขนาดไม่เกิน 50x80 เซนติเมตร สูง 41 เซนติเมตร มีความแข็งแรง ขอบโต๊ะปรับโค้งมนเล็กน้อย รวมไปถึงสามารถเปลี่ยนหน้าที่ได้หลากหลาย สำหรับความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อการใช้งาน พบว่า การออกแบบเครื่องเรือนแบบที่ 1 มีขนาด 45x80 เซนติเมตร สูง 41 เซนติเมตร เน้นการใช้สอย เช่น ลิ้นชักเก็บของและชั้นวางหนังสือ โต๊ะทำงานที่มีความสูงประมาน 74 เซนติเมตร โดยใช้โครงโต๊ะพับเหล็กอเนกประสงค์ และมีขาไม้ที่ทันสมัย เพื่อให้ที่พักอาศัยดูกว้างมากขึ้น สำหรับงานวิจัยนี้สามารถประหยัดพื้นที่ใช้สอยได้ประมาณร้อยละ 79.31 สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มประมาณร้อยละ 23.68 และสามารถนำองค์ความรู้นี้ไปต่อยอดในสถานประกอบการที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกัน ยกระดับเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมได้</p> กมลวรรณ แสงธรรมทวี, เบญจวรรณ ปานแม้น ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/256751 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700 การออกแบบและการพัฒนาถาดเพาะชำกล้าไม้จากขี้เลื่อยที่ย่อยสลายได้ https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/256770 <p><span style="font-weight: 400;">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากระบวนการขึ้นรูปถาดเพาะชำกล้าไม้จากขี้เลื่อยโดยใช้กาวแป้งเปียกเป็นวัสดุประสาน 2) เพื่อออกแบบถาดเพาะชำกล้าไม้ที่เหมาะสมต่อการใช้งาน 3) เพื่อผลิตถาดเพาะชำกล้าไม้ให้เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมชุมชน โดยวิธีทดลองทั้งหมด 6 ชุดการทดลอง ในอัตราส่วนผสมที่แตกต่างกันโดยน้ำหนัก นำไปขึ้นรูปด้วยเครื่องอัดไฮดรอลิก ศึกษาลักษณะทางกายภาพของถาดเพาะชำกล้าไม้หลังการนำออกจากแม่พิมพ์ ศึกษาคุณสมบัติและทดสอบการเสื่อมสภาพ วิธีการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างเกษตรกรผู้ผลิตกล้าไม้ในอำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท จำนวน 12 คน และการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการจำนวน 5 คน โดยใช้วิธีสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง ใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้ทราบว่า 1) กระบวนการขึ้นรูปชุดการทดลอง A06 ซึ่งมีอัตราส่วนผสม กาวแป้งเปียก : ขี้เลื่อย 60 : 40 สามารถขึ้นรูปได้ดีที่สุด ขึ้นรูปได้เต็มใบ 2) ผู้ประกอบการมีความต้องการถาดเพาะชำกล้าไม้รูปทรงและขนาดมาตรฐานทรงสี่เหลี่ยมและเมื่อพิจารณาลักษณะทางเคมีของวัตถุดิบ มีค่าความเป็นกรดด่างที่เหมาะสมต่อการเติบโตของพืช 3) ลักษณะทางกายภาพและคุณสมบัติตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมชุมชน พบว่า มีความคงทนกลมกลืน ไม่แตกร้าว มีผิวสีน้ำตาลเรียบเนียนสม่ำเสมอ มีขนาดส่วนบน 5 เซนติเมตร ส่วนล่าง 4 เซนติเมตร สูง 5 เซนติเมตร หนา 0.5 เซนติเมตร น้ำหนัก 246.66 กรัม และมีค่าความชื้นร้อยละ 25.94±1.43 มีค่าการดูดซับน้ำร้อยละ 66.79±5.56 มีค่าการพองตัวร้อยละ 7.38±0.85 มีค่าความพรุนร้อยละ 6.46±1.66 มีความสามารถในการดูดซับน้ำได้ดี มีการเสื่อมสภาพช้าที่สุด </span></p> เบญจวรรณ ปานแม้น, กมลวรรณ แสงธรรมทวี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/256770 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาแบบจำลองการพยากรณ์การติดเชื้อไวรัสโคโรนา-2019 ด้วยลักษณะอาการของผู้ป่วย https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/255441 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาแบบจำลองพยากรณ์การติดเชื้อไวรัสโคโรนา-2019 จากอาการของผู้ป่วยด้วยเทคนิคการทำเหมืองข้อมูล 2) เพื่อเปรียบเทียบและประเมินประสิทธิภาพของแบบจำลอง โดยข้อมูลอาการของผู้ป่วยที่ใช้ได้รวบรวมจากข้อมูลอาการติดเชื้อไวรัสโคโรนาขององค์การอนามัยโลกและสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์แห่งอินเดีย ประกอบด้วยข้อมูล 5,434 ระเบียน โดยแบ่งเป็นชุดข้อมูลการเรียนรู้ 4,348 ระเบียน และชุดข้อมูลทดสอบ 1,086 ระเบียน มีแอตทริบิวต์สำหรับใช้ในการเรียนรู้ 10 แอตทริบิวต์จากทั้งหมด 21 แอตทริบิวต์ กระบวนการวิจัยใช้ขั้นตอนมาตรฐานของการทำเหมืองข้อมูล อัลกอริทึมการเรียนรู้ประกอบด้วย 8 อัลกอริทึมได้แก่ ป่าสุ่ม นาอีฟเบย์ ซัพพอร์ตเวกเตอร์แมชชีน การถดถอยลอจิสติก เพื่อนบ้านใกล้ที่สุด นิวรอลเน็ตเวิร์ก เอดาบูท และต้นไม้ตัดสินใจ การประเมินประสิทธิภาพการเรียนรู้และแบบจำลองการพยากรณ์ใช้ค่า ความถูกต้องการจำแนก ค่าความแม่นยำ ค่าความไว และค่าความจำเพาะ ผลการศึกษาพบว่า อัลกอริทึมนิวรอลเน็ตเวิร์กเป็นอัลกอริทึมที่มีประสิทธิภาพการเรียนรู้ดีที่สุด จากนั้นเมื่อนำอัลกอริทึมไปปรับค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ แบบจำลองการพยากรณ์ที่ได้มีประสิทธิภาพสูงสุดที่ 91.40% เมื่อกำหนดค่าอัตราการเรียนรู้เป็น 0.1 ใช้ฟังก์ชัน ReLU เป็นฟังก์ชันการกระตุ้น และใช้รอบการทำงานสูงสุดที่ 200 รอบการทำงาน สรุปผลได้ว่า การพัฒนาแบบจำลองการพยากรณ์การติดเชื้อไวรัสโคโรนา-2019 จากลักษณะอาการของผู้ป่วยโดยใช้อัลกอริทึมนิวรอลเน็ตเวิร์กนั้น ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการพยากรณ์ได้เป็นอย่างดี สามารถใช้พัฒนาเป็นระบบสนับสนุนทางการแพทย์เพื่อคัดกรองผู้ต้องสงสัยว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา-2019 ก่อนการตรวจวินิจฉัยโรคของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่อไป</p> เกรียงศักดิ์ โยธาภักดี, ภูวิศ เพ็งมีศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/255441 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาหาสภาวะที่เหมาะสมต่อการขึ้นรูปแผ่นลามิเนตจากเศษขี้เลื่อยไม้ไผ่ผสมพลาสติกโดยใช้โพลีสไตรีนเรซินเป็นเมทริกซ์ https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/255286 <p>เศษขี้เลื่อยไม้ไผ่จะถูกนำมาเป็นวัสดุเสริมแรงในงานทางด้านวัสดุคอมโพสิตสำหรับนำไปประยุกต์ใช้งานแผ่นลามิเนตตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการสังเคราะห์แผ่นลามิเนตจากเศษขี้เลื่อยไม้ไผ่ผสมพลาสติกโดยใช้โพลีสไตรีนเรซินเป็นเมทริกซ์ โดยกระบวนการในการเตรียมจะทำการปรับสัดส่วนโดยน้ำหนักของเศษขี้เลื่อยไม้ไผ่ผสมลงในสารละลายโพลีสไตรีนเรซินเป็นเมทริกซ์ที่เตรียมได้จากกระบวนการรีไซเคิลเชิงเคมีที่อาศัยการเติมตัวทำละลายอินทรีย์พร้อมกับกระบวนการที่ใช้แรงกลในการกวนสารละลายจากนั้นใช้เครื่องอัดไฮดรอลิกขึ้นรูปแผ่นลามิเนตด้วยเทคนิคการอัดแบบเย็น ผลิตภัณฑ์แผ่นลามิเนตจะทำการวัดคุณสมบัติทางกายภาพตามมาตรฐานเอเอสทีเอ็ม ได้แก่ ความหนา เปอร์เซ็นต์ความชื้น เปอร์เซ็นต์การดูดซึมน้ำ รวมถึงการทดสอบมุมสัมผัสของพื้นผิว ตามลำดับ จากผลการทดลองพบว่า อัตราส่วนระหว่างเศษขี้เลื่อยไม้ไผ่ต่อสารละลายโพลีสไตรีนเรซินเป็น ร้อยละโดยน้ำหนัก 16 ต่อ 20 มีคุณสมบัติทางกายภาพของแผ่นที่เหมาะสม คือ มีค่าความหนาโดยเฉลี่ยที่ 0.53 มิลลิเมตร ความชื้นอยู่ที่ร้อยละ 10.0 การดูดซึมน้ำอยู่ที่ร้อยละ 1.45 และค่าเฉลี่ยมุมสัมผัสของพื้นผิวอยู่ในช่วง <br />90 ถึง 150 องศา ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าแผ่นลามิเนตมีสมบัติความไม่ชอบน้ำส่งผลทำให้มีความสามารถในการกันน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> จิรพัฒน์พงษ์ เสนาบุตร, ปภาวดี เนตรสุวรรณ, อมรรัตน์ ปิ่นชัยมูล, กำพล หว่างลี้สกุล, วรพจน์ ศิริรักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/255286 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาเครื่องให้อาหารกุ้งแบบพลังงานแสงอาทิตย์ https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/258199 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาเครื่องให้อาหารกุ้งแบบพลังงานแสงอาทิตย์ และ 2) เพื่อทดสอบประสิทธิภาพเครื่องให้อาหารกุ้งแบบพลังงานแสงอาทิตย์ บทความนี้นาเสนอการพัฒนาเครื่องให้อาหารกุ้งแบบพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อจะแก้ปัญหาการให้อาหารที่ต้องใช้แรงงานคนที่จะต้องใส่อาหารกุ้งไว้ในเรือแล้วพายเรือหว่านรอบบ่อ งานวิจัยนี้จึงดาเนินการออกแบบและพัฒนาเครื่องให้อาหารกุ้ง โดยสามารถลดต้นทุนค่าแรงงาน 72,000 บาท ต่อปี ระยะเวลาการทดลอง เดือนเมษายน - กรกฎาคม 2567 ในพื้นที่หมู่ที่ 1 เทศบาลตาบลบางพระ อาเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการทดสอบประสิทธิภาพระบบพลังงานแสงอาทิตย์ มีประสิทธิภาพการทางานสูงสุด อยู่ที่เดือนกรกฎาคม ค่ากาลังไฟฟ้าเฉลี่ยรายวันมีค่าเฉลี่ย 64.93 วัตต์ คิดเป็นร้อยละ 99.59 มีค่ากาลังไฟฟ้าสูงสุด 65.2 วัตต์ โดยช่วงเวลาที่มีค่าความเข้มรังสีแสงอาทิตย์สูงสุดเฉลี่ย 420 วัตต์ต่อตารางเมตร 2) ประเมินสรรถนะการเจริญเติบโตและประสิทธิภาพการใช้อาหารกุ้ง ทดสอบด้วยเครื่องให้อาหารกุ้งแบบพลังงานแสงอาทิตย์และแรงงานคน ให้อาหารเป็นระยะเวลาบ่อละ 2 เดือน (เมษายน - กรกฎาคม) ทาการสุ่ม กุ้งทุก ๆ เดือน โดยสุ่มจานวน 100 ตัวต่อบ่อ เพื่อนาไปประเมินการเจริญเติบโต ผลที่ได้พบว่า การใช้เครื่องมีน้าหนักที่มากกว่าให้ด้วยคนมีค่า 323±9.84 กรัมต่อ 100 ตัว 3) ผลการทดสอบประสิทธิภาพการควบคุมเปิด - ปิด ผ่านแอปพลิเคชันสมาร์ตโฟน จานวน 7 ครั้ง การทดสอบสามารถควบคุมการเปิด – ปิดเครื่องให้อาหารกุ้งแบบพลังงานแสงอาทิตย์ได้ตรงตามเวลาเป้าหมายที่กาหนด</p> วสันต์ คงไสยะ, วีระยุทธ สุดสมบูรณ์, ฉัตรชัย แก้วดี, วีรพล ปานศรีนวล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/258199 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700 ผลกระทบของการปรับปรุงเส้นใยแกลบข้าวที่มีต่อคุณสมบัติของแผ่นขัดจากเส้นใยแกลบข้าวผสมพอลิยูรีเทน https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/257392 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของการปรับปรุงเส้นใยแกลบข้าวผสมพอลิยูรีเทนด้วยกรดไฮโดรคลอริกและโซเดียมไฮดรอกไซด์ โดยแกลบข้าวขนาด 80 mesh จะถูกนาไปผสมกับพอลิยูรีเทนในอัตราส่วน 0 2.5 5 7.5 10 และ 12.5 phr เพื่อขึ้นรูปเป็นแผ่นขัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 120 มม. หนา 5 มม. จากนั้นนาไปวัดค่าความแข็งของแผ่นขัดแล้วจึงนาไปทดสอบค่าความต้านทานการขัดถูด้วยชิ้นงานทรงกระบอกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 มม. สูง 16 มม. และตัดแบ่งแผ่นขัดให้มีน้าหนัก 10 กรัม เพื่อทดสอบความสามารถในการดูดซึมน้า จากผลการวิจัยพบว่า พอลิยูรีเทนผสมแกลบข้าวชนิดต่าง ๆ สามารถขึ้นรูปเป็นแผ่นขัดได้ โดยแผ่นขัดจากแกลบข้าวที่ผ่านกระบวนการปรับปรุงด้วยกรดไฮโดรคลอริกและจากแกลบข้าวที่ไม่ผ่านกระบวนการปรับปรุงมีค่าความแข็งไม่ต่างกันอย่างมีนัยสาคัญ ในขณะที่แผ่นขัดจากแกลบข้าวที่ผ่านกระบวนการปรับปรุงด้วยกรดไฮโดรคลอริกมีค่าความต้านทานการขัดถูสูงและดูดซึมน้าน้อยกว่าแผ่นขัดจากแกลบข้าวที่ไม่ผ่านกระบวนการปรับปรุง ตรงข้ามกับแผ่นขัดจากแกลบข้าวที่ผ่านกระบวนการปรับปรุงด้วยโซเดียมไฮดรอกไซด์พบว่า แผ่นขัดมีค่าความแข็งลดลงในทุกอัตราส่วน ถึงแม้ว่าค่าความต้านทานการขัดถูเพิ่มขึ้นแต่การดูดซึมน้าก็เพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นกระบวนการปรับปรุงแกลบข้าวด้วยกรดไฮโดรคลอริกส่งผลให้แผ่นขัดมีค่าความต้านทานการขัดถูดีขึ้นดูดซึมน้าได้น้อยลง และไม่ส่งผลต่อค่าความแข็ง</p> ไม้โท เกษสุวรรณ์, ณัฐพล บุญอธึก, นัฐพงษ์ สุขวิพัฒน์, สิริวรรณ บริพัตรโกศล, ฉันทพิชญา พารุ่ง, ธรรมรัตน์ สมทอง, นรินทร์ จันทวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/257392 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700