https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/issue/feed วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี 2024-04-28T12:27:35+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุระเจตน์ อ่อนฤทธิ์ [email protected] Open Journal Systems <p>วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่บทความวิจัย (Research Article) และบทความวิชาการ (Review Article) ของคณาจารย์ นักศึกษา และนักวิชาการทั้งภายในและภายนอกสถาบัน วารสารฯ ยินดีรับบทความที่มีขอบเขตเนื้อหาเกี่ยวข้องในศาสตร์ทางด้านวิศวกรรมศาสตร์แขนงต่าง ๆ (Engineering) วิทยาการคำนวณ (Computer Science) และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Environmental Science) โ<strong>ดยทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ ไม่น้อยกว่า 3 ท่านต่อหนึ่งบทความ โดยการประเมินเป็นในลักษณะของ Double-Blind Peer Review</strong></p> <p>วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีเริ่มตีพิมพ์เป็นเอกสารเมื่อปี พ.ศ.2561 (ISSN 2651-1282 (Printed)) และเริ่มเผยแพร่ในรูปของวารสารอิเล็กทรอนิกส์ (e-Journal) อย่างเป็นทางการในฐานะ Online Open Access Journal ผ่านระบบ ThaiJo เมื่อปี พ.ศ.2561 (ISSN 2651-1290 (Online))</p> https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/247739 การออกแบบระบบระบายอากาศเฉพาะที่สำหรับงานบัดกรี ณ ศูนย์ฝึกวิชาชีพกรุงเทพมหานคร เขตบางกอกน้อย 2022-08-04T11:58:18+07:00 เชิดศิริ นิลผาย [email protected] ณัฐพล เหล็งโป้ [email protected] อานุภาพ จูลึ [email protected] <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาอุปกรณ์ระบายอากาศเฉพาะที่ สำหรับใช้ในระหว่างการบัดกรีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 2) เพื่อทดสอบประสิทธิผลของอุปกรณ์ระบายอากาศเฉพาะที่ในการลดปริมาณสารมลพิษระหว่างการบัดกรีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้เรียนและผู้สอน ณ ศูนย์ฝึกวิชาชีพ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร สถิติที่ได้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ โดยออกแบบอุปกรณ์ระบบระบายอากาศเฉพาะที่สำหรับงานบัดกรีชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากสร้างได้ทดสอบประสิทธิภาพของอุปกรณ์ระบายอากาศเฉพาะที่เปรียบเทียบกับรายการออกแบบคำนวณไว้ ผลการวิจัย พบว่า ในการออกแบบระบบระบายอากาศเฉพาะที่ ครั้งที่ 1 พบปัญหาการเกิดประกายไฟขึ้นที่พัดลมและเกิดเสียงดังขณะใช้งาน จึงได้พัฒนาอุปกรณ์ระบบระบายอากาศเฉพาะที่ ครั้งที่ 2 และทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์ระบายอากาศเฉพาะที่ที่ออกแบบ พบว่า ค่าความเร็วลม และค่าความดันสถิตมีค่าแตกต่างจากค่าที่ได้จากคำนวณก่อนการออกแบบ เมื่อทดสอบประสิทธิผลในการลดมลสารของอุปกรณ์ระบายอากาศเฉพาะที่ ก่อนเปิดใช้งานและหลังเปิดใช้งานอุปกรณ์ระบายอากาศลักษณะติดตัวบุคคลระหว่างการบัดกรีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พบว่า ก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ ลดลงร้อยละ 100 ฟูมตะกั่ว ลดลงร้อยละ 83.96และก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ลดลงร้อยละ 65.72 ผลการทดสอบประสิทธิผลของอุปกรณ์ระบายอากาศเฉพาะที่ด้านความดังของเสียง พบว่า พัดลมมีผลต่อความดังของเสียง หลังปรับปรุงทำให้มีค่าความดังของเสียง 5 นาที เฉลี่ย 55.70 dB(A)</p> 2024-04-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/248242 การประยุกต์ใช้กระบวนการโครงข่ายเชิงวิเคราะห์เพื่อเลือกเครื่องมือลีนที่เหมาะสม : กรณีศึกษาเชิงประจักษ์ 2022-08-05T09:55:10+07:00 นิธิเดช คูหาทองสัมฤทธิ์ [email protected] วาสนา จันทร์ขำ [email protected] รัชนี ภูวพัฒนะพันธุ์ [email protected] <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เลือกเครื่องมือลีนที่เหมาะสมด้วยกระบวนการโครงข่ายเชิงวิเคราะห์ภายใต้องค์ประกอบในการตัดสินใจ ได้แก่ เกณฑ์การตัดสินใจจำนวน 8 ด้าน และเครื่องมือลีนทางเลือกที่แตกต่างกันจำนวน 7 เครื่องมือ องค์ประกอบในการตัดสินใจเหล่านี้มีอิทธิพลจากองค์ประกอบในการตัดสินใจอื่นภายนอกกลุ่มและได้รับผลกระทบจากองค์ประกอบในการตัดสินใจในกลุ่มเดียวกัน วิธีการที่เสนอได้ถูกประยุกต์ใช้กับกรณีศึกษาเชิงประจักษ์ซึ่งเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย จากผลการศึกษาพบว่ากระบวนการโครงข่ายเชิงวิเคราะห์สามารถใช้แก้ปัญหาการเลือกเครื่องมือลีนที่เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพและจัดลำดับเครื่องมือลีนโดยพิจารณาจากค่าน้ำหนักความสำคัญขององค์ประกอบในการตัดสินใจในกลุ่มทางเลือกของเมทริกซ์ขีดจำกัด ผู้ตัดสินใจสามารถเปรียบเทียบองค์ประกอบในการตัดสินใจเป็นรายคู่และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเกณฑ์การตัดสินใจและเครื่องมือลีนได้พร้อมกัน จากการประยุกต์วิธีการที่เสนอกับบริษัทกรณีศึกษาพบว่าการควบคุมการมองเห็นมีความเหมาะสมมากที่สุดในการปรับปรุงการทำงานตามแนวคิดของลีนและสามารถเพิ่มผลิตภาพร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับผลิตภาพเดิมก่อนการปรับปรุง ในขณะที่เครื่องมือลีนประเภทอื่นมีความสำคัญลดลงมาตามค่าน้ำหนักความสำคัญจากมากไปหาน้อย ประโยชน์จากการศึกษาวิจัยนี้เป็นแนวทางแก่ผู้ประกอบการในการแก้ปัญหาการเลือกเครื่องมือลีนเพื่อช่วยลดความสูญเปล่าระหว่างการทำงานและเพิ่มผลิตภาพอย่างต่อเนื่อง</p> 2024-04-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/248685 การประยุกต์ใช้ขั้นตอนวิธีของดิสตราในการกำหนดจุดหมายปลายทาง ของนักท่องเที่ยว กรณีศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี 2022-08-04T11:31:39+07:00 จิรัญญา ฤกษ์พิบูลย์ [email protected] <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาขั้นตอนวิธีของดิสตรา เพื่อหาระยะทางที่สั้นที่สุดจากต้นทาง อำเภอเมืองอุบลราชธานี ไปยังปลายทางสถานที่ท่องเที่ยว 2 แห่ง คือ วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว และน้ำตกห้วยหลวง โดยกำหนดจุดแทน สถานที่ท่องเที่ยว และอำเภอ ซึ่งประกอบด้วย วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว น้ำตกห้วยหลวง อำเภอวารินชำราบ อำเภอพิบูลมังสาหาร อำเภอเดชอุดม อำเภอสิรินธร อำเภอนาจะหลวย อำเภอโขงเจียม และกำหนดเส้นเชื่อมแทนระยะทางระหว่างอำเภอไปยังอำเภอ และอำเภอไปยังสถานที่ท่องเที่ยว สำหรับขั้นตอนวิธีของดิสตรา ประกอบไปด้วยการดำเนินการ 3 ขั้นตอน คือ การกำหนดค่าระยะทางให้จุด การเลือกจุดที่มีค่าระยะทางที่ดีที่สุด และการปรับแก้ค่าระยะทางของจุดให้ดีขึ้น ผลการวิจัยพบว่า การใช้ขั้นตอนวิธีของดิสตราเพื่อหาระยะทางที่สั้นที่สุดของการเดินทางจากอำเภอเมืองอุบลราชธานีถึงวัดสิรินธรวนารามภูพร้าว และจากอำเภอเมืองอุบลราชธานีถึงน้ำตกห้วยหลวงมีเส้นทางจราจรที่เป็นไปได้ทั้งหมด 2 เส้นทาง ระยะทางที่สั้นที่สุดเท่ากับ 83 กิโลเมตร และ 114 กิโลเมตร ตามลำดับ และมีเส้นทาง คือ อำเภอเมืองอุบลราชธานี - อำเภอวารินชำราบ – อำเภอสิรินธร - วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว และอำเภอเมืองอุบลราชธานี – อำเภอวารินชำราบ – อำเภอเดชอุดม – อำเภอนาจะหลวย – น้ำตกห้วยหลวง ตามลำดับ ซึ่งทั้งสองเส้นทางมีค่าระยะทางที่สั้นที่สุดใกล้เคียงกับระบบค้นหาเส้นทางในปัจจุบัน </p> 2024-04-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/250114 การเพาะเห็ดฟางด้วยโรงเรือนควบคุมสภาวะ และใช้พลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ เพื่อลดต้นทุนการผลิต 2022-11-17T14:30:23+07:00 เตชาธร ชัยวงศ์ [email protected] ภคมน ปินตานา [email protected] ธเนศ ไชยชนะ [email protected] ชวโรจน์ ใจสิน [email protected] <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือศึกษาการเพาะเห็ดฟางในโรงเรือนแบบควบคุมเพื่อให้เกิดสภาวะที่เหมาะสมต่อเห็ดฟาง และมีการนำพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์มาใช้เพื่อลดต้นทุนการผลิตลง โดยมีเงื่อนไขการควบคุม คืออุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์และปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 29 - 32 องศาเซลเซียส, ร้อยละ 85 - 95 และ &lt;2,000 พีพีเอ็ม ตามลำดับ ระบบควบคุมประกอบไปด้วยไมโครคอนโทรลเลอร์รุ่น อีเอสพี32 ทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์รุ่น บีเอ็มอี280 อุปกรณ์ตรวจวัดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์รุ่น เอ็มจี811 อุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิน้ำรุ่น ดีเอส18บี20 อุปกรณ์ตรวจวัดพลังงานไฟฟ้ารุ่น พีซีอีเอ็ม-017 และอุปกรณ์ตรวจวัดค่าพลังงานแสงอาทิตย์รุ่น เอสไอ-วี-1.5ทีซี ระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ประกอบไปด้วยแผงผลิตน้ำร้อนขนาด 2.5 ตารางเมตร ร่วมกับถังเก็บน้ำขนาด 200 ลิตร เพื่อผลิตน้ำร้อน และแผงเซลล์สุริยะขนาด 385 วัตต์ จำนวน 2 แผง ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ขนาด 12 โวลต์ 200 แอมป์ชั่วโมง เพื่อผลิตไฟฟ้า ผลการศึกษาพบว่าโรงเรือนสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมภายในโรงเรือนได้ตามเงื่อนไขตลอดระยะเวลาการเพาะ ปริมาณผลผลิตเฉลี่ยที่ได้อยู่ที่ 58.70 กิโลกรัมต่อรอบการผลิต อัตราการใช้พลังงานอยู่ที่ 0.65 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อกิโลกรัม โรงเรือนควบคุมมีการใช้พลังงานไฟฟ้าอยู่ที่ 494.13 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ระบบผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์สามารถผลิตพลังงานความร้อนได้ 16.63 เมกะจูลต่อวัน ที่อุณหภูมิน้ำสูงสุด 62.39 องศาเซลเซียส และผลิตไฟฟ้าได้ 1,102.82 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการ จากการวิเคราะห์ต้นทุนด้านพลังงานต่อหน่วยพบว่า ระบบดังกล่าวสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ 5,013.57 บาทต่อปี และเมื่อพิจารณาทั้งระบบแล้วมีระยะเวลาคืนทุนอยู่ที่ 3.01 ปี</p> 2024-04-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/247614 การประยุกต์ใช้ซิกส์ซิกมาเพื่อลดของเสียในกระบวนการผลิตแผ่นผนังคอนกรีตสำเร็จรูป: กรณีศึกษา บริษัท A 2022-08-05T10:10:27+07:00 รามาวดี นัยวรรณ์ [email protected] ชนนิกานต์ ทองทรง [email protected] ใยฟ้า ตระกูลสันติ [email protected] <p>ผนังคอนกรีตสำเร็จรูปถูกนำมาใช้ในงานก่อสร้างเนื่องจากสามารถลดต้นทุนการผลิตและมีความสะดวกรวดเร็ว อย่างไรก็ตามสถานประกอบการประสบกับปัญหาของเสียจากกระบวนการผลิตแผ่นผนังคอนกรีตสำเร็จรูป งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อลดของเสียจากกระบวนการผลิตแผ่นผนังคอนกรีตสำเร็จรูป โดยวิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การระบุปัญหา 2) การวางแผน 3) การปฏิบัติ และ 4) การประเมินผล ซึ่งในขั้นตอนการปฏิบัติผู้วิจัยได้ดำเนินการตามกระบวนของซิกส์ซิกมา ประกอบด้วย การระบุปัญหา การวัดความสามารถของกระบวนการ การวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา การปรับปรุง และการควบคุม โดยได้ประยุกต์ใช้เครื่องมือของซิกส์ซิกมาในแต่ละขั้นตอนของกระบวนซิกส์ซิกมา ผลการการศึกษาพบว่าระดับของซิกมาก่อนการปรับปรุงอยู่ที่ 3.3 หลังการปรับปรุงกระบวนการผลิตแผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป โดยการจัดทำคู่มือกระบวนการผลิตแผ่นผนังคอนกรีตสำเร็จรูปให้กับพนักงาน และการอบรมพนักงานเกี่ยวกับการจัดซื้อวัสดุ ทำให้สามารถลดของเสียจากกระบวนการผลิตได้จาก 9 แผ่น เหลือ 7 แผ่น ต่อการผลิต 36 แผ่น คิดเป็นร้อยละ 22.22 ทำให้ระดับซิกมาหลังการปรับปรุงอยู่ที่ระดับ 3.5 ผลของการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการประยุกต์ใช้ซิกส์ซิกมาซึ่งเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการคุณภาพสามารถลดของเสียจากกระบวนการผลิตได้ งานวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารโรงงานหรือหัวหน้าฝ่ายการผลิตที่ต้องการลดข้อบกพร่องจากกระบวนการผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปและลดต้นทุนการผลิต</p> 2024-04-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/248798 ผลกระทบของประเภทคำต่อแบบจำลองการจำแนกความรู้สึกของคนไทยต่อออทิสติก 2022-11-17T09:27:26+07:00 ชุติกาญจน์ เพชรรักษ์ [email protected] จารี ทองคำ [email protected] <p>คำในภาษาไทยที่สามารถแสดงถึงความรู้สึกข้อผู้เขียนในเชิงบวกและเชิงลบ ได้แก่ คำกริยา คำวิเศษณ์ และคำคุณศัพท์ ซึ่งต่างจากคำในภาษาอังกฤษที่ใช้ คำวิเศษณ์ และคำคุณศัพท์ในการการแสดงความรู้สึก งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประเภทคำที่มีผลต่อประสิทธิภาพของแบบจำลองความรู้สึกของคนไทยต่อออทิสติก <span style="font-size: 0.875rem;">คำในภาษาไทยที่สามารถแสดงถึงความรู้สึกข้อผู้เขียนในเชิงบวกและเชิงลบ ได้แก่ คำกริยา คำวิเศษณ์ และคำคุณศัพท์ ซึ่งต่างจากคำในภาษาอังกฤษที่ใช้ คำวิเศษณ์ และคำคุณศัพท์ในการการแสดงความรู้สึก งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประเภทคำที่มีผลต่อประสิทธิภาพของแบบจำลองความรู้สึกของคนไทยต่อออทิสติก </span>ความคิดเห็นของคนไทยต่อออทิสติกถูกรวบรวมจากสื่อสังคมออนไลน์ ในเว็บไซต์พันทิป เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ จำนวน 1,766 ความคิดเห็น กระบวนการเหมืองความคิดเห็นได้ถูกนำมาใช้ในการสร้างแบบจำลองเพื่อการจำแนก ในงานวิจัยนี้ใช้ข้อมูล 7 ชุดข้อมูล ตามประเภทของชนิดคำ ประกอบด้วย ชุดข้อมูลคำกริยา ชุดข้อมูลคำวิเศษณ์ ชุดข้อมูลคำคุณศัพท์ ชุดข้อมูลคำวิเศษณ์และคำคุณศัพท์ ชุดข้อมูลคำกริยาและคำคุณศัพท์ ชุดข้อมูลคำกริยาและคำวิเศษณ์ และชุดข้อมูลคำกริยา คำวิเศษณ์ และคำคุณศัพท์ ประเภทของคำดังกล่าวสามารถระบุความรู้สึกของคนไทยได้เป็นอย่างดี ในแต่ละระเบียนของแต่ละชุดข้อมูลได้มีการกำหนดคลาสด้วยหลักการถุงคำ ในการสร้างแบบจำลองเพื่อการจำแนก 5 เทคนิคที่มีประสิทธิภาพได้ถูกนำมาใช้ ได้แก่ เทคนิคนาอีฟเบย์ เทคนิคต้นไม้ตัดสินใจ ซี4.5 เทคนิคป่าสุ่ม เทคนิคเพื่อนบ้านใกล้ที่สุด และเทคนิคซัพพอร์ตเวกเตอร์แมชชีน ในการทดลองเพื่อค้นหาประสิทธิภาพของแบบจำลองในงานวิจัยนี้ใช้หลักการ 10-โฟลด ครอสวาลิเดชัน ในการแบ่งชุดข้อมูลออกเป็นชุดทดสอบและชุดสอนค่าความแม่นยำ ค่าความระลึก และค่าความถ่วงดุลถูกนำมาใช้ในการแสดงประสิทธิภาพในการจำแนกของแบบจำลอง จากการทดลองพบว่า ชุดข้อมูลที่มีเพียงคำคุณศัพท์ มีค่าเฉลี่ยความแม่นยำ ค่าความระลึกและค่าความถ่วงดุลสูงสุดถึงร้อยละ 98.74 99.57 และ 99.15 ตามลำดับ</p> 2024-04-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/250307 การลดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพการปรับตั้งเครื่องจักร กรณีศึกษาบริษัทผลิตแผ่นพลาสติกสำหรับกั้นในแบตเตอรี่ 2022-12-09T09:10:30+07:00 รุจยา เกตุสุวรรณ์ [email protected] ณัฐนารี สุขเสกสรรค์ [email protected] <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการปรับตั้งลูกโรล และลดเวลาปรับตั้ง พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน โดยเริ่มจากศึกษากระบวนการปรับตั้งลูกโรลที่มีต้นกำลังจากคัปปลิ้งดิสก์ในกระบวนการผลิตแผ่นพลาสติกสำหรับกั้นในแบตเตอรี่ โดยแยกงานภายในและงานภายนอก และใช้แผนภูมิกระบวนการผลิตของกลุ่ม เพื่อศึกษาการปฏิบัติงานของพนักงานแต่ละคน ผลการศึกษาพบว่า มีผู้ปฏิบัติงานทั้งหมด 6 คน และมีประสิทธิภาพการทำงานเฉลี่ยของผู้ปฏิบัติงานเท่ากับ 26 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้เวลาในการปรับตั้งทั้งหมด 52.52 นาที จากนั้นปรับปรุงกิจกรรมการทำงานโดยนำเทคนิคการเปลี่ยนแม่พิมพ์อย่างรวดเร็วมาประยุกต์ใช้ โดยแยกการปรับตั้งเป็นการปรับตั้งภายในและภายนอก และปรับเปลี่ยนงานภายในให้เป็นงานภายนอกสายการผลิต โดยการเตรียมอุปกรณ์และตรวจสอบลูกโรลให้เสร็จก่อนเริ่ม และงานบางอย่างสามารถเปลี่ยนไปทำหลังการปรับตั้งเครื่องจักรเสร็จได้ นอกจากนั้น พบว่ามีความสูญเปล่าที่เกิดจากการเคลื่อนไหว จึงได้นำหลักการอีซีอาร์เอส ซึ่งเป็นหลักการกำจัด การรวมกัน การจัดใหม่ และการทำให้ง่าย มาประยุกต์ใช้ ผลการศึกษาพบว่าสามารถลดจำนวนผู้ปฏิบัติงานเหลือ 4 คน ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 64 เปอร์เซ็นต์ และใช้เวลาการดำเนินงานลดลงเหลือ 35.25 นาที หรือคิดเป็น 33 เปอร์เซ็นต์</p> 2024-04-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/248367 การปรับปรุงการทำงานตามหลักการยศาสตร์และพัฒนาอุปกรณ์ช่วยในการ เก็บเกี่ยวพริก: กรณีศึกษา เกษตรกรปลูกพริกกลุ่มหนึ่งในพื้นที่ อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช 2022-08-05T10:59:55+07:00 อภิชล กำเนิดว้ำ [email protected] ชัยณรงค์ ศรีวะบุตร [email protected] สุรสิทธิ์ ระวังวงศ์ [email protected] ชาตรี หอมเขียว [email protected] <p><strong> </strong>ปัจจุบันนั้นเกษตรกรยังคงมีปัญหาด้านท่าทางการทำงานที่ไม่เหมาะสม งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์สำหรับการปรับปรุงการทำงานและพัฒนาอุปกรณ์ช่วยในการเก็บเกี่ยวพริกของกลุ่มเกษตรกรผู้เก็บเกี่ยวพริกกลุ่มหนึ่งในพื้นที่อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช กำหนดกลุ่มตัวอย่างเป็นประชากรทั้งหมด จำนวน 20 ราย เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบประเมินท่าทางของร่างกายรยางค์ส่วนบนอย่างรวดเร็ว และแบบประเมินความพึงพอใจในการใช้อุปกรณ์และระดับการบาดเจ็บ รวมถึงวัสดุอุปกรณ์ในการสร้างอุปกรณ์ช่วยเก็บเกี่ยวพริก ผลการประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ด้วยแบบประเมินท่าทางของร่างกายรยางค์ส่วนบนอย่างรวดเร็ว พบว่าอยู่ในระดับ 3 นั่นคือ ลักษณะงานเริ่มมีปัญหา ควรพิจารณาศึกษาเพิ่มเติมและรีบดำเนินการปรับปรุงโดยเร็ว ภายหลังการปรับปรุงโดยให้คำแนะนำเกี่ยวกับท่าทางการทำงานที่ถูกต้องและประยุกต์ใช้อุปกรณ์ต้นแบบ ผลการประเมินท่าทางของร่างกายรยางค์ส่วนบนอย่างรวดเร็ว ลดลงจากระดับ 3 เป็นระดับ 2 หรือระดับที่ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมและติดตามวัดผลอย่างต่อเนื่องอาจจะจำเป็นที่จะต้องมีการออกแบบใหม่ ซึ่งหลังจากพัฒนาอุปกรณ์ช่วยในการเก็บเกี่ยวพริกเพื่อให้เกษตรกรทดลองใช้งาน พบว่า มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจต่ออุปกรณ์ต้นแบบโดยรวมเท่ากับ 3.68 คะแนน หรืออยู่ในระดับพึงพอใจมาก นอกจากนี้ อุปกรณ์ช่วยเก็บเกี่ยวพริกยังสามารถลดการบาดเจ็บลงจาก 2.91 คะแนน หรือระดับความรู้สึกบาดเจ็บปานกลาง เป็น 1.53 คะแนน หรือระดับความรู้สึกบาดเจ็บน้อย ซึ่งลดลง 1.38 คะแนน หรือคิดเป็นร้อยละ 47.42</p> 2024-04-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/248532 โมเดลการพยากรณ์พฤติกรรมการติดเกมของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ ด้วยอัลกอริทึมการเรียนรู้ร่วมกันและโครงข่ายประสาทเทียม 2022-08-25T10:07:41+07:00 นงเยาว์ ในอรุณ [email protected] <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาพฤติกรรมการติดเกมของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ (2) สร้างโมเดลและเปรียบเทียบประสิทธิภาพโมเดลการพยากรณ์พฤติกรรมการติดเกม ด้วยอัลกอริทึมเหมืองข้อมูลพื้นฐาน 6 อัลกอริทึม ได้แก่ โครงข่ายประสาทเทียม การสุ่มป่าไม้ ซัพพอร์ตเวกเตอร์แมทชีน เค-เนียร์เรสเนเบอร์ ต้นไม้ตัดสินใจ และนาอีฟเบย์ และ (3) สร้างโมเดลและเปรียบเทียบประสิทธิภาพโมเดลการพยากรณ์พฤติกรรมการติดเกมด้วยอัลกอริทึมการเรียนรู้ร่วมกัน 12 อัลกอริทึม ได้แก่ แบ็คกิ้งร่วมกับ 6 อัลกอริทึมพื้นฐาน และ บูสติ่งร่วมกับ 6 อัลกอริทึมพื้นฐาน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบทดสอบการติดเกม และโปรแกรมแรพิดไมเนอร์สตูดิโอ 9 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ผลการวิจัยพบว่า โมเดลที่มีประสิทธิภาพสูงสุด คือ การสร้างโดยแบ็คกิ้งร่วมกับโครงข่ายประสาทเทียม (98.00%) และบูสต์ติงร่วมกับโครงข่ายประสาทเทียม (97.60%) ตามลำดับ สรุปผลการวิจัยว่าควรนำโมเดลที่ดีที่สุดไปใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน เพื่อพยากรณ์พฤติกรรมการติดเกมของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ เป็นแนวทางในการหาสาเหตุของพฤติกรรมการติดเกม การเฝ้าระวังและช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาการติดเกมให้เหมาะสมและพัฒนาการเรียนรู้ของนักศึกษาให้มีประสิทธิภาพต่อไป</p> 2024-04-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/jitubru/article/view/250182 แบบจำลองทางคณิตศาสตร์สำหรับปัญหาการลดต้นทุนการจัดเส้นทางการขนส่ง: กรณีศึกษา น้ำหนักบรรทุกที่แตกต่างกัน 2023-02-20T10:54:08+07:00 อรรถพล สุริยันต์ [email protected] ประพันธ์ ยาวระ [email protected] นราธิป สุพัฒน์ธนานนท์ [email protected] ณัฏฐ์ดนัย สุพัฒน์ธนานนท์ [email protected] รักน้อย อัครรุ่งเรืองกุล [email protected] <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแบบจำลองทางคณิตศาสตร์สำหรับปัญหาการจัดเส้นทางการขนส่งให้มีต้นทุนรวมในการขนส่งที่ต่ำลง โดยจะพิจารณาต้นทุนที่เกิดจากการขนส่ง ประกอบด้วย ต้นทุนค่าอัตราการเผาผลาญพลังงานเชื้อเพลิงต่อระยะทาง ต้นทุนที่เกี่ยวกับการกดทับของน้ำหนักสินค้าที่บรรทุก ต้นทุนค่าโหลดสินค้า และค่าจ้างพนักงานขับรถ ซึ่งรถบรรทุกทั้ง 2 คัน มีอัตราค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและความสามารถในการบรรทุกที่แตกต่างกัน ปัญหานี้จะจัดเส้นทางการขนส่งจากโรงงานไปยังลูกค้าจำนวน 9 แห่ง ตามความต้องการสินค้าของลูกค้าที่แตกต่างกันในแต่ละวัน การออกแบบแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ได้เป็นไปตามเงื่อนไขในการขนส่งจริงของบริษัทกรณีศึกษา เช่น ลูกค้าทุกแห่งต้องได้รับสินค้าตามความต้องการ และรถบรรทุกต้องไม่ขนส่งเกินความสามารถในการบรรทุกสูงที่สุด เป็นต้น จากนั้นทดสอบกับปัญหาจำนวน 5 ชุด การประมวลผลจากโปรแกรม lingo 13.0 แสดงว่าแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่นำเสนอเป็นแบบไม่เป็นเชิงเส้นผสมจำนวนเต็ม ซึ่งคำตอบที่ได้มีความถูกต้องและสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีที่บริษัทกรณีศึกษาใช้ขนส่งในอดีตจะสามารถลดต้นทุนการขนส่งรวมได้ร้อยละ 9.61 หรือคิดเป็นมูลค่า 90,803.80 บาทต่อปี และเมื่อเทียบกับการศึกษาก่อนหน้า พบว่าบริษัทกรณีศึกษาสามารถลดต้นทุนได้ร้อยละ 9.79 หรือคิดเป็นมูลค่า 92,698.893 บาทต่อ</p> 2024-04-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี