https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/fit-ssru/issue/feed
วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม : มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
2024-12-25T22:02:19+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ขวัญเรือน รัศมี
fit_journals@ssru.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทามีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นแหล่งรวบรวมและเผยแพร่ บทความวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ รวมถึงนวัตกรรมที่มีความเกี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและรวบรวมผลงานวิจัย องค์ความรู้และวิชาการขั้นสูงให้กับนักศึกษา ครู อาจารย์ นักวิจัย และประชาชนทั่วไปที่สนใจ</p> <p> </p>
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/fit-ssru/article/view/256513
Quantifying Innovation Potential: An Index System and Model for China's High-Tech Industry Development Zone
2024-06-18T10:13:44+07:00
Chenqing Su
64a951003@mcru.ac.th
Choat Inthawongse
64a951003@mcru.ac.th
Noppadol Amdee
64a951003@mcru.ac.th
<p>The aim of this study is to investigate the innovative capacity of high-tech zones in China. To this end, we have developed an evaluation index system and established a solid theoretical basis for it. Our evaluation system includes four first-level indicators, eight second-level indicators and 28 third-level indicators, whose weights were determined using the entropy weight method. In addition, we applied the catastrophe progression method to comprehensively assess the innovative capacity of high-tech zones, capture innovation dynamics and identify areas for improvement. The novelty of this study lies in the construction of a multi-level index system based on the framework of cybernetics and information theory. By combining the entropy weighting method and the catastrophe progression method, we provide for the first time a scientific and comprehensive method for assessing innovation capability. Our research not only reveals the strengths and weaknesses of the innovation capability of high-tech zones, but also provides practical assessment tools and theoretical support for their further development. The results show that the systematic index system and scientific assessment methods can effectively evaluate the innovation capability of high-tech zones and provide deep insights and suggestions for improvement. Overall, our study provides valuable insights and practical guidance for the continuous innovation and development of high-tech zones in China.</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/fit-ssru/article/view/255912
การประเมินความสั่นสะเทือนเฉพาะมือและแขนของแรงงานนอกระบบ กลุ่มอาชีพการทำครกหิน พื้นที่ตำบลพิชัย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง
2024-03-27T13:46:39+07:00
ยุวดี ขุนสอาด
yuwadee.khu@dome.tu.ac.th
อารุญ เกตุสาคร
arroon.k@fph.tu.ac.th
<p>การทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีการสั่นสะเทือนจากเครื่องจักรเพิ่มความเสี่ยงต่อกลุ่มอาการ ผิดปกติที่แขนและมือโดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานนอกระบบการทำครกหิน การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจวัดความสั่นสะเทือน ประเมินอันตรายและความชุกจากการรับสัมผัสความสั่นสะเทือนที่แขนและมือในแรงงานนอกระบบกลุ่มอาชีพการทำครกหิน 75 ราย ตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงกันยายน 2566 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามทั่วไป และเครื่องวัดความสั่นสะเทือนเฉพาะแขน และมือ ดำเนินการตรวจวัดความสั่นสะเทือนเฉพาะแขนและมือของเครื่องเจาะครกหิน เครื่องตัดหัว-ท้ายครกหิน และเครื่องตกแต่งภายนอกและภายในครกหิน ผลการศึกษาพบว่า ค่าความเร่งจากแรงสั่นสะเทือนเฉพาะแขนและมือของกลุ่มตัวอย่างทุกคนเกินค่าขีดจำกัดการรับสัมผัสความสั่นสะเทือน และค่าความสั่นสะเทือนที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับใน 1 วัน (8 ชั่วโมง) อยู่ในระดับเกินค่าขีดจำกัดการรับสัมผัส การค้นพบนี้เป็นประโยชน์ในการป้องกันและควบคุมมาตรการทางด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยสำหรับการปฏิบัติงานการสัมผัสความสั่นสะเทือนรวมถึงนโยบายและกลยุทธ์ในการลดความเสี่ยงของ แรงงานนอกระบบกลุ่มประกอบอาชีพการทำครกหิน</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/fit-ssru/article/view/255764
โครงข่ายประสาทเทียมเพื่อทำนายคะแนนความเสี่ยงของโรคซิลิโคซิส ของช่างแกะสลักหินในจังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย
2024-03-15T08:25:25+07:00
รัฏชพงศ์ ไชยเดช
ratchapong.chai@dome.tu.ac.th
อารุญ เกตุสาคร
arroon.k@fph.tu.ac.th
<p>การรับสัมผัสฝุ่นซิลิกาในที่ทำงานเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคซิลิโคซิสต่อช่างแกะสลักหิน การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลและสร้างโครงข่ายประสาทเทียมในการทำนาย คะแนนความเสี่ยงจากการรับสัมผัสฝุ่นซิลิกาของช่างแกะสลักหิน 243 คน ที่สัมผัสกับฝุ่นซิลิกาในที่ทำงานตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงตุลาคม 2566 ที่จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย ทำการวิเคราะห์การถดถอยเพื่อค้นหาปัจจัยที่เกี่ยวข้องอย่างมีนัยสำคัญกับคะแนนความเสี่ยงของโรคซิลิโคซิสและสร้างโครงข่ายประสามเทียมเพื่อทำนายคะแนนความเสี่ยงของซิลิโคซิส ผลการวิจัยพบว่า ตัวแปรที่มีอิทธิพล 4 ตัว ได้แก่ ความเข้มข้นฝุ่นซิลิกาในสถานที่ทำงาน (มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) จำนวนชั่วโมงการทำงานต่อวัน (ชั่วโมง) การมีโรคประจำตัว และการมีที่พักอาศัยแยกจากที่ทำงานสามารถสร้างโครงข่าย ประสาทเทียมที่มีโครงสร้าง 4-3-2-1 ประกอบด้วยตัวแปรนำเข้า 4 ตัว โหนดชั้นซ่อน 3 และ 2 โหนด ตัวแปรนำออก 1 ตัว โมเมนตัม 0.05 อัตราการเรียนรู้ 0.5 และเวลาการเรียนรู้ 100,000 รอบ มีค่าความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด ซึ่งมีผลรวมของค่าเฉลี่ยของร้อยละความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์ (MAPE) เท่ากับ ร้อยละ 4.58 มีค่าเฉลี่ยของร้อยละความผิดพลาดสัมบูรณ์น้อยกว่าร้อยละ 10 ดังนั้นโครงข่ายประสาทเทียมจึงมีความแม่นยำและสามารถใช้ทำนายคะแนนความเสี่ยงของซิลิโคซิสในแต่ละบุคคลเพื่อวางแผนการแก้ปัญหาตามปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคะแนนความเสี่ยงของซิลิโคซิสก่อนเริ่มทำงาน แนะนำทำการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงแบบจำลองโดยการวิจัยกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/fit-ssru/article/view/256719
เครื่องอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยตัวเก็บรังสีอาทิตย์ เพื่อเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจชุมชน
2024-06-24T10:28:59+07:00
ชาญฉจิต วรรณนุรักษ
chanchajit.w@dru.ac.th
<p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องอบแห้งพลังงาน แสงอาทิตย์ด้วยตัวเก็บรังสีอาทิตย์โดยเปรียบเทียบร้อยละความชื้นและน้ำหนักของผลิตภัณฑ์ที่ได้จาก เครื่องอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยตัวเก็บรังสีอาทิตย์กับตู้อบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์และการตาก แห้งโดยวิธีธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการทดลองคือกล้วยน้ำว้า<br />จากผลการทดลองสรุปได้ว่าเครื่องอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยตัวเก็บรังสีอาทิตย์มีรังสี รวมรายชั่วโมงที่ตกกระทบตั้งฉากบนระนาบเอียงเฉลี่ยอยู่ที่ 633.06 วัตต์/ตารางเมตร ประสิทธิภาพแผงตัวเก็บรังสีอาทิตย์ขณะใด ๆ อยู่ระหว่างร้อยละ 18.18 – 47.75 ตัวเก็บรังสีอาทิตย์มีการส่งผ่านค่าดูดกลืนรังสีอาทิตย์สูง และป้องกันความร้อนสูญเสียได้ดี ประสิทธิภาพของแผงตัวเก็บรังสีอาทิตย์ที่สร้างขึ้นได้ร้อยละ 99 ผลการเปรียบเทียบค่าร้อยละความชื้นของผลิตภัณฑ์จากการอบแห้งกล้วยน้ำว้า ระยะเวลาการทดลองนาน 1 วัน และ 5 วัน คิดตามมาตรฐานอาหารเปียกพบว่าร้อยละความชื้นเฉลี่ยของกล้วยน้ำว้าจากเครื่องอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยตัวเก็บรังสีอาทิตย์สามารถลดความชื้นได้ดีกว่ากล้วยน้ำว้าจากตู้อบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์และจากการตากแห้งโดยวิธีธรรมชาติ คิดเป็นร้อยละ 58.22, 56.02, 55.64 และ ร้อยละ 74.29, 72.99, 71.94 ตามลำดับ ค่าน้ำหนักของกล้วยน้ำว้าจาก การอบแห้งจำนวน 5 ครั้ง ครั้งละ 5 วัน เครื่องอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยตัวเก็บรังสีอาทิตย์ สามารถลดน้ำหนักของกล้วยน้ำว้าได้มากที่สุดทั้งจากตู้อบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์และจากการตากแห้งโดยวิธีธรรมชาติ โดยน้ำหนักของกล้วยน้ำว้าลดลงเฉลี่ยเหลือ 0.35 กิโลกรัม, 0.37 กิโลกรัม และ 0.39 กิโลกรัม ตามลำดับและเมื่อมีกำลังการผลิตที่ 20 กิโลกรัม/ครั้ง จะสามารถคืนทุนได้ภายในระยะเวลาประมาณ 9 วัน มีรายรับสุทธิ 52,459.68 ต่อปี</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/fit-ssru/article/view/257535
การประเมินการสูญเสียและความบกพร่องทางการได้ยิน ของพนักงานอุตสาหกรรมผลิตกระดาษแห่งหนึ่ง
2024-07-23T10:03:30+07:00
พิชามญชุ์ หนิมสุข
pichamon.nim@dome.tu.ac.th
ลักษณา เหล่าเกียรติ
laksana.laokiat@gmail.com
<p>เสียงดังเป็นปัญหาที่พบในภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกและส่งผลโดยตรงต่อการได้ยิน การสูญเสียการได้ยินทำให้เกิดอุปสรรคในการสื่อสาร ก่อให้เกิดความผิดพลาดในการทำงาน และส่งผลต่อการใช้ ชีวิตประจำวัน การวิจัยเชิงวิเคราะห์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกของการสูญเสียการได้ยิน ความชุกของความบกพร่องทางการได้ยิน และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสูญเสียการได้ยิน ในกลุ่มพนักงานอุตสาหกรรมผลิตกระดาษ จำนวน 186 คน ใช้ข้อมูลจากผลการทดสอบสมรรถภาพการได้ยินปี พ.ศ. 2558 – 2565 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบ ค่าเฉลี่ยแบบจับคู่ และสถิติไคสแควร์ กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการศึกษาพบระดับ เสียงเฉลี่ยในสภาพแวดล้อมการทำงาน 87.15 เดซิเบลเอ ความชุกของการสูญเสียการได้ยินร้อยละ 37.1 โดยมีค่าเฉลี่ยระดับการได้ยินในหูข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างมากกว่า 40 เดซิเบล ที่ความถี่ 4000 – 6000 เฮิรตซ์และพบความชุกของความบกพร่องทางการได้ยินร้อยละ 79.0 ในจำนวนนี้ มีความบกพร่องของการได้ยินในระดับเล็กน้อยถึงปานกลางของหูข้างที่ดีกว่า ร้อยละ 67.8 และของหูข้างที่แย่กว่าร้อยละ 87.4 สำหรับปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสูญเสียการได้ยิน คือ อายุของพนักงาน (p-value = 0.010) และอายุงาน (p-value = 0.009) เนื่องจากการสูญเสียการได้ยินจากเสียงเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ การบริหารจัดการเพื่อลดเสียงในสภาพแวดล้อมการทำงาน ร่วมกับการส่งเสริมและบริหาร จัดการให้พนักงานมีความตระหนักในการป้องกันตนเองจึงเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/fit-ssru/article/view/257827
การวิเคราะห์ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากพฤติกรรม การขับขี่รถยนต์ด้วยวิธีการถดถอยเชิงเส้นแบบพหุคูณ กรณีศึกษาบริษัทตัวอย่าง
2024-09-09T11:55:22+07:00
เสฏฐวุฒิ เอกรัตนวัฒน์
aekrattanawat_s@su.ac.th
นพคุณ แสงเขียว
meja.noppakun@gmail.com
ธนาธร เกรอต
karot_t@su.ac.th
พีรภพ จอมทอง
peerapop_jomthong@hotmail.com
<p>ในประเทศไทย ภาคการขนส่งเป็นกิจกรรมหลักที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งการเผา ไหม้เชื้อเพลิงในเครื่องยนต์เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ดังนั้น การศึกษานี้ต้องการศึกษาปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากพฤติกรรมการขับขี่รถยนต์ใน การจัดส่งสินค้าของบริษัทตัวอย่าง รวบรวมข้อมูลโดยใช้เครื่องมือ GPS Tracker ซึ่งติดตั้งบน ยานพาหนะสำหรับจัดส่งสินค้าของบริษัทตัวอย่าง จากนั้นทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการถดถอยเชิง เส้นแบบพหุคูณ ด้วยวิธีการเลือกตัวแปรโดยวิธีลดตัวแปรเพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรม การขับขี่และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสมการสำหรับปริมาณการปล่ อยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ ผลการศึกษาพบว่าปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นตามระยะเวลา การทำงานของเครื่องยนต์ การเร่งความเร็วกะทันหัน การชะลอความเร็วกะทันหัน และกรณีเกิน ขีดจำกัดความเร็ว ได้แก่ 0.004418 KgCo<sub>2</sub>eq/นาที 0.04067 KgCo<sub>2</sub>eq/ครั้ง 0.2531 KgCo<sub>2</sub>eq/ครั้ง และ 0.02024 KgCo<sub>2</sub>eq/ครั้ง ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังได้เสนอแนวทางการควบคุมพฤติกรรมการขับขี่ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และลดความเสี่ยงที่เกิดจากพฤติกรรมการขับขี่อีกด้วย</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/fit-ssru/article/view/257793
การออกแบบและสร้างเครื่องบดละเอียดเปลือกหอยแมลงภู่ สำหรับกิจกรรมดินปั้นจากเปลือกหอยในการผลิตระดับวิสาหกิจชุมชน
2024-09-09T11:43:33+07:00
กิตติรัตน์ รุ่งรัตนาอุบล
kittirat.r@rbru.ac.th
ภัทรา ศรีสุโข
pathra.s@rbru.ac.th
ธีรวัฒน์ ชื่นอัศดงคต
teerawat.c@rbru.ac.th
นฤมล เลิศคำฟู
narumon.l@rbru.ac.th
วรฉัตร อังคะหิรัญ
worachat.a@rbru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อออกแบบและสร้างเครื่องบดละเอียดเปลือกหอยสำหรับ วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านน้ำเชี่ยว จังหวัดตราด 2) เพื่อประเมินประสิทธิภาพของเครื่องบดละเอียดเปลือกหอย วิธีดำเนินการวิจัยเริ่มจากศึกษาวิธีการทำผงเปลือกหอยแมลงภู่สำหรับทำดินปั้นจากเปลือกหอย ปริมาณการผลิต และความต้องการชุมชนต่อเครื่องบดเปลือกหอยจากสมาชิกของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านน้ำเชี่ยว ด้วยวิธีการสัมภาษณ์ กลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 3 คน ต่อมาทดสอบการบดเปลือกหอยแมลงภู่ด้วยครก ปริมาณ 50 กรัม 5 ซ้ำ ออกแบบและสร้างต้นแบบเครื่องบดโดยใช้หลักการทางกายวิภาคศาสตร์และเครื่องบดแบบไจราทอรีที่มีเฟืองบดรูปทรงกรวยและ สามารถปรับขนาดผงเปลือกหอย ผลการสัมภาษณ์พบว่าทางชุมชนใช้ครกหินตำเปลือกหอยให้เป็นผง และร่อนผ่านตระแกรงขนาด 40 เมช โดยตำครั้งละประมาณ 50 กรัมต่อครก ชุมชนมีปริมาณการใช้ ประมาณ 1-2 กิโลกรัมต่อเดือน จึงต้องการเครื่องบดเปลือกหอยที่ราคาไม่สูง เคลื่อนย้ายได้ง่าย ผู้สูงอายุสามารถใช้งานได้ปลอดภัยและดูแลรักษาได้ง่าย ผลการทดสอบประสิทธิภาพในด้านร้อยละของน้ำหนักเปลือกหอยจากการตำด้วยครกและเครื่องบดเปลือกหอย คือ 92.63 และ 95.66 % ตามลำดับ และประสิทธิภาพด้านความสามารถในการทำงานจริงของแรงงานคนตำด้วยครกและเครื่องบดเปลือกหอย คือ 1.58 และ 8.59 กรัมต่อนาที โดยเครื่องบดเปลือกหอยที่สร้างขึ้นสามารถทำงานได้ต่อเนื่อง ไม่ต้องใช้ตะแกรงร่อน ลดการสูญหายของเปลือกหอย ลดเวลาในการเตรียมผงเปลือกหอยของชุมชน จึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการบดเปลือกหอยสำหรับการผลิตในระดับวิสาหกิจชุมชนได้</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/fit-ssru/article/view/256580
การวิเคราะห์ความเสียหายของวัสดุล้อรถไฟฟ้าความเร็วสูง ที่โครงสร้างทางจุลภาคเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากกระบวนการทางความร้อน
2024-09-02T15:38:24+07:00
ชัยชโย ซื่อตรง
chaichayo.sue@gmail.com
<p style="font-weight: 400;">ในการศึกษานี้ได้พิจารณาการขยายตัวของรอยร้าวจากการล้าของวัสดุล้อรถไฟฟ้าความเร็วสูง เกรด ER8 ซึ่งเป็นเกรดที่ใช้งานอยู่ในรถไฟฟ้า Airport rail link ในประเทศไทย โดยทำการพิจารณาและ ทดสอบโครงสร้างของเหล็กล้อรถไฟ 2 กรณีศึกษา ได้แก่ โครงสร้างเหล็กกล้าที่ได้มาตรฐานหรือ โครงสร้างดั้งเดิมของล้อรถไฟฟ้าความเร็วสูง ซึ่งมีโครงสร้างทางจุลภาคประกอบด้วยเฟสเฟอร์ไรต์และ เฟสเพิร์ลไลต์ และในกรณีที่ 2 นั้น จะเป็นโครงสร้างของวัสดุล้อรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่ผ่านกระบวนการทางความร้อน เพื่อจำลองล้อรถไฟฟ้าที่ถูกใช้งานจริงและเกิดความร้อนขึ้นขณะใช้งานโครงสร้างทางจุลภาคของล้อรถไฟฟ้าความเร็วสูงจะเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยมีปริมาณของเฟสเฟอร์ไรต์เพิ่มมากขึ้น และเฟสเพิร์ลไลต์ลดน้อยลง การทดสอบสมบัติทางกลนั้นกระทำโดยวิธีการทดสอบแรงดึงตามมาตรฐาน ASTM E8 และการทดสอบความสามารถในการต้านทานความเสียหายที่เกิดจากการล้า (fatigue) ทดสอบโดยใช้เครื่อง Universal testing ที่ภาระขนาด 5 กิโลนิวตัน ที่ความถี่ 10 เฮิร์ต ตามมาตรฐาน ASTM E647 ผลที่ได้จากการทดสอบขยายตัวของรอยร้าวล้าด้วยภาระแบบวงรอบ (cyclic load) สามารถนำไปวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างกลไกความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโครงสร้างทางจุลภาค ของเหล็กล้อรถไฟที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งผลที่ได้พบว่าการเพิ่มขึ้นของเฟสเฟอร์ไรต์ส่งผลให้วัสดุล้อ รถไฟฟ้ามีความยืดหยุ่นที่สูงขึ้น แต่กลับมีค่าแรงดึงสูงสุดต่ำลง รวมไปถึงความสามารถในการต้านทางการขยายตัวของรอยร้าวล้าในวัสดุที่ต่ำลงไปด้วย</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/fit-ssru/article/view/257892
เครื่องฟักไข่แบบสมาร์ทและการตรวจสอบไข่ด้วยเทคโนโลยีใยแก้วนำแสง
2024-10-03T11:12:55+07:00
เจษฎา สาททอง
sartthong@webmail.npru.ac.th
สัญญา ควรคิด
sartthong@webmail.npru.ac.th
อดิศร แก้วภักดี
sartthong@webmail.npru.ac.th
ขนิษฐา แซ่ลิ้ม
sartthong@webmail.npru.ac.th
<p>บทความนี้นำเสนอการออกแบบและพัฒนาเครื่องฟักไข่อัตโนมัติ สำหรับการควบคุมอุณหภูมิความชื้น และการพลิกไข่แบบอัตโนมัติทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อปรับปรุงระบบการฟักไข่และอัตราการรอดของไข่ในระยะเวลาการฟัก 22-25 วัน ในงานวิจัยฉบับนี้ประกอบด้วย 1) การควบคุมอุณหภูมิภายใน ตู้ฟักให้คงที่ระหว่าง 37-38 องศาเซลเซียสและความชื้นให้คงที่ระหว่าง 55-75 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้โมดูล Wi-Fi ESP8266 ร่วมกับเซ็นเซอร์ DS18B20 และ DHT22 2) ระบบจะแจ้งเตือนสถานะการทำงานของเครื่องฟักไข่ผ่านเครื่องแม่ข่าย Blynk บนอินเทอร์เน็ตและแอพพลิเคชัน Line บนสมาร์ทโฟน และ 3) นำเสนอเทคนิคการใช้แสงจากหลอดแอลอีดีความเข้มสูงผ่านสายใยแก้วนำแสงแบบมัลติโหมดเพื่อ ตรวจสอบไข่ที่มีเชื้อและไม่มีเชื้อแทนเทคนิคการตรวจสอบแบบดั้งเดิมโดยใช้วิธีลอยน้ำหรือใช้หลอดไฟ ทังสเตนเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของไข่แบบฉับพลันและการติดเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากการสัมผัสส่งผลให้อัตราการรอดของไข่ที่ฟักเพิ่มขึ้นจากการฟักด้วยแม่ไก่ตามธรรมชาติประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/fit-ssru/article/view/258217
การปรับปรุงประสิทธิภาพการวางแผนเส้นทางเดินรถจัดส่งสินค้า กรณีศึกษาบริษัทตัวอย่าง
2024-10-21T09:38:35+07:00
อนวัช มนตรีวงค์
6610120042@email.psu.ac.th
ชุกรี แดสา
chukree.d@psu.ac.th
นิกร ศิริวงศ์ไพศาล
chukree.d@psu.ac.th
<p>งานวิจัยนี้เป็นการนำเสนอวิธีการแก้ปัญหาการจัดเส้นทางการเดินรถ (Vehicle Routing Problem; VRP) กรณีที่มีคลังสินค้าแห่งเดียว ลูกค้ามีหลายราย ซึ่งแต่ละรายมีปริมาณความต้องการสินค้าที่ไม่เท่ากัน แต่ทราบปริมาณสินค้าที่ลูกค้าต้องการล่วงหน้าและช่วงเวลาในการรับสินค้าของลูกค้าที่แน่นอน โดยงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งของบริษัทกรณีศึกษาและสามารถแก้ไข ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับข้อจำกัดต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยการกำหนดกรอบเวลาในการขนส่ง (Time Windows) การแบ่งส่งสินค้า (Split Demand Delivery) และปริมาณความจุของรถบรรทุก (Capacitated) โดยผู้วิจัยได้ทำการเปรียบเทียบต้นทุนค่าขนส่งของทั้ง 2 วิธี ได้แก่ การใช้ Routing และการใช้ Clustering and Routing โดยผลลัพธ์ที่ได้จากการขนส่งสินค้าให้กับลูกค้า 117 ราย ของทั้ง 2 วิธี เมื่อเทียบกับการใช้ประสบการณ์ของพนักงานขับรถในการวางแผนจัดเส้นทางเดินรถพบว่า การใช้ Routing ทำให้ต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มขึ้น 2.5 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.006 ส่วนการใช้ Clustering and Routing สามารถทำให้ต้นทุนค่าขนส่งลดลง 1,535.5 บาท คิดเป็นร้อยละ 3.43</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา