วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/csnp_veis1 <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ :</strong> วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 เป็นวารสารที่ตีพิมพ์บทความวิจัย บทความวิชาการ ที่เขียนด้วยภาษาไทย เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่องค์ความรู้ งานวิจัย ด้านการบริหารการศึกษา ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านธุรกิจและการบริการ ด้านสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรม และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งบุคลากรภายในและภายนอกสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1<br /><strong>วัตถุประสงค์ :<br /></strong>1. เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ผลงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อชุมชนและสังคม<br />2. เพื่อเผยแพร่บทความวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ ได้แก่ สาขาการศึกษา สาขาวิศวกรรมศาสตร์ และสาขาวิทยาศาสตร์<br />3. เพื่อสนับสนุนการศึกษา การค้นคว้าให้เกิดการพัฒนาวิชาการในวิชาชีพแก่คณาจารย์ด้านอาชีวะและเทคนิคศึกษา<br /> วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 มีการจัดทำในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) ภายใต้ชื่อ "วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1" โดยเริ่มต้นในปี 2559 <strong>ISSN</strong> 3027-6799 (Online)<br /> วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่ฐานข้อมูล TCI และได้ถูกจัดคุณภาพให้เป็นวารสารกลุ่มที่ 2<br />กระบวนการพิจารณาบทความ : ตั้งแต่วารสารวิชาการฯ ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 เป็นต้นไป ทุกบทความผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง จำนวน 3 ท่านต่อบทความ ซึ่งไม่เปิดเผยข้อมูลเจ้าของบทความ และไม่เปิดเผยผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความ (Double Blinded) โดยกองบรรณาธิการมีสิทธิ์แก้ไขบทความตามความเหมาะสม<br /><strong>ประเภทของบทความ : </strong> บทความวิจัย, บทความวิชาการ<br /><strong>กำหนดออก : </strong>วารสารตีพิมพ์ 2 ฉบับต่อปี ดังนี้ ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม - มิถุนายน และฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม - ธันวาคม<br /><strong>เจ้าของวารสาร :</strong> สถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1</p> <hr /> <p><strong>ผู้ประสงค์จะตีพิมพ์บทความต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและกระบวนการดังต่อไปนี้</strong></p> <ol> <li>ผู้นิพนธ์จะต้องศึกษารูปแบบและตรวจสอบการเขียนบทความให้ตรงตามรูปแบบของวารสาร</li> <li>แนบไฟล์บทความ (Microsoft Word และ PDF) และเข้าสู่ระบบออนไลน์ที่ https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/csnp_veis1/login</li> <li>บทความต้องผ่านการตรวจรูปแบบและเนื้อหาที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของวารสารจากกองบรรณาธิการ และผู้นิพนธ์ต้องปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์และถูกต้องตามคำแนะนำ</li> <li>เมื่อบทความผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน และการพิจารณาของกองบรรณาธิการ ผู้นิพนธ์ต้องทำการโอนเงินค่าธรรมเนียม</li> </ol> <p><strong>การชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความวิจัย<br /></strong> กองบรรณาธิการวารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 รับพิจารณาเฉพาะบทความที่มีขอบเขตเนื้อหาเป็นไปตามที่วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 กำหนด<br /> กองบรรณาธิการวารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 จะมีจดหมายแจ้งผลการพิจารณาการลงตีพิมพ์บทความวิจัยในวารสาร เมื่อบทความวิจัยนั้นผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิและผ่านการพิจารณาอนุมัติจากกองบรรณาธิการแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความวิจัย ดังนี้</p> <p><strong>1. ผู้นิพนธ์ที่เป็นบุคคลภายใน</strong> อาจารย์ประจำหลักสูตร อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตร และอาจารย์ผู้สอนรายวิชาในระดับปริญญาตรี - <strong>ไม่เก็บค่าธรรมเนียม<br /></strong><strong>2. ผู้นิพนธ์ที่เป็นบุคคลภายใน</strong> สถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 - <strong>ค่าธรรมเนียม 2,000 บาท<br />3. ผู้นิพนธ์ที่เป็นบุคคลภายใน และร่วมจัดบุคคลภายนอก - ค่าธรรมเนียม 2,500 บาท<br />4. ผู้นิพนธ์ที่เป็นบุคคลภายนอก - ค่าธรรมเนียม 3,000 บาท</strong></p> <p>ให้โอนเงินค่าธรรมเนียม หมายเลขบัญชี “801-6-07581-9” ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี “สถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1”</p> <p> กองบรรณาธิการวารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 ขอสงวนสิทธิ์ในการคืนต้นฉบับ ค่าตีพิมพ์บทความวิจัย หากชำระเงินแล้ว</p> สถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 th-TH วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 3027-6799 การส่งเสริมการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ของกลุ่มเกษตรอินทรีย์ภาคตะวันตก https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/csnp_veis1/article/view/261212 <p>งานวิจัยครั้งนี้วัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการผลิตและแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรอินทรีย์ในภาคตะวันตก และ 2) ศึกษาระดับความพึงพอใจที่มีต่อการถ่ายทอดเทคโนโลยีการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรอินทรีย์เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าให้กับกลุ่มเกษตรกรในภาคตะวันตก พื้นที่เป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ภาคตะวันตก ประกอบด้วย จังหวัดราชบุรี และจังหวัดเพชรบุรี ช่วงระยะเวลาในการศึกษา ตั้งแต่เดือนมีนาคม - มิถุนายน พ.ศ. 2567 โดยใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง กลุ่มเป้าหมาย คือ 1) กลุ่มเกษตรกร ชุมชนหนองนางแพรว จังหวัดราชบุรี จำนวน 30 คน และ 2) กลุ่มเกษตรกร ชุมชนหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 30 คน ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากภาคประชาชน ภาครัฐ ภาคเอกชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตำบลน้ำพุ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองหญ้าปล้อง ผู้ใหญ่บ้านชุมชนหนองนางแพรว และประธานสหกรณ์ผลิตปุ๋ยอินทรีย์หนองหญ้าปล้อง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และแบบสอบถามความพึงพอใจ </p> <p>ผลการวิจัย 1) สภาพการผลิตและแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรอินทรีย์ในภาคตะวันตก พบว่า จังหวัดราชบุรี มีผลผลิตทางการเกษตรอินทรีย์หลักที่สำคัญ ได้แก่ มะกรูด มะม่วง และฝรั่ง ส่วนของจังหวัดเพชรบุรี มีผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ มะนาว กล้วย และหน่อไม้ ปัญหาที่พบในการผลิตสินค้าทางการเกษตร ประกอบด้วย ต้นทุนการผลิตสูง ราคาผลผลิตตกต่ำ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยีไม่เพียงพอ หนี้สินครัวเรือนที่สูงขึ้น และการตลาดและช่องทางการจำหน่ายไม่เพียงพอ อีกทั้งปัญหาที่พบในการแปรรูปผลผลิตสินค้าทางการเกษตรประกอบด้วย การขาดเครื่องมือและอุปกรณ์พื้นฐาน การขาดความรู้และเทคโนโลยีที่เข้ามาจัดการกระบวนการผลิต รวมถึงการเข้าถึงตลาดและการขาย และงบประมาณสนับสนุนที่ไม่เพียงพอ และ 2) ผลการถ่ายทอดเทคโนโลยีการแปรรูปให้กับกลุ่มเกษตรอินทรีย์ พบว่า จังหวัดราชบุรี มีความสนใจให้แปรรูปผลผลิต ได้แก่ น้ำยาอเนกประสงค์จากมะกรูด มะม่วงกวน ฝรั่งหยี และจังหวัดเพชรบุรี มีความสนใจให้แปรรูปผลผลิต ได้แก่ มะนาวดอง ผงกล้วย และหน่อไม้ดอง และมีความพึงพอใจต่อการถ่ายทอดเทคโนโลยีการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเพื่อสร้างงมูลค่าเพิ่มอยู่ในระดับมาก เพราะช่วยส่งเสริมให้เกิดรายได้กับครอบครัวและชุมชน</p> รุ่งอรุณ พรเจริญ ธิติ ธารสุข ศกลวรรณ พาเรือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-25 2025-10-25 11 1 3 12 แนวทางการพัฒนาทักษะการไลฟ์สดบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำหรับผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/csnp_veis1/article/view/261308 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัญหาการสื่อสารทางการตลาดแบบไลฟ์สดของผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล และ 2) นำเสนอแนวทางการพัฒนาทักษะการไลฟ์สดบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำหรับผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล กลุ่มตัวอย่าง คือ บทความวิจัย บทความวิชาการ วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ และการศึกษาค้นคว้าอิสระที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการสื่อสารทางการตลาดแบบไลฟ์สดของผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล จำนวน 23 ฉบับ และแนวทางการพัฒนาทักษะการไลฟ์สดบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำหรับผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล จำนวน 27 ฉบับ รวมทั้งสิ้น 50 ฉบับ จากฐานข้อมูล Thai Journal Online (ThaiJO) และ Google Search Engine ในช่วงปี พ.ศ. 2557-2567 เครื่องมือวิจัยได้แก่ แบบคัดกรองข้อมูลและแบบประเมินความเหมาะสมของแนวทางการพัฒนาทักษะการไลฟ์สดบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำหรับผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัญหาการสื่อสารทางการตลาดแบบไลฟ์สดของผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล ประกอบด้วย 6 ด้าน ครอบคลุม 20 ประเด็นย่อย ที่ส่งผลต่อการสื่อสารทางการตลาดแบบไลฟ์สดของผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล ส่วนแนวทางการพัฒนาทักษะการไลฟ์สดบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำหรับผู้ประกอบการยุคดิจิทัล ประกอบด้วย 4 ด้าน ครอบคลุม 29 แนวทางย่อย 2) ความเหมาะสมของแนวทางการพัฒนาทักษะการไลฟ์สดบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำหรับผู้ประกอบการยุคดิจิทัล ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ กลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะสม รองลงมา ได้แก่ การประเมินผลการไลฟ์สดอย่างเป็นระบบและรูปธรรมเพื่อนำไปปรับปรุงการไลฟ์สด และการพัฒนาทักษะการสื่อสารแบบไลฟ์สดและนำเสนอเนื้อหาอย่างมีประสิทธิภาพ ตามลำดับ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ได้แก่ การเลือกแพลตฟอร์มและช่วงเวลาสื่อสารการตลาดแบบไลฟ์สด โดยผู้เชี่ยวชาญได้ให้ข้อเสนอแนะ 2 ด้าน คือ ด้านรูปแบบการเรียนรู้ที่ควรเน้นไปที่การปฏิบัติจริงเพื่อพัฒนาทักษะการไลฟ์สดและด้านกลยุทธ์การตลาดที่ควรเน้นไปที่การสร้างพันธมิตรทางการตลาดที่เหมาะสมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้การไลฟ์สดอย่างมีคุณภาพ</p> น้ำเพชร นิธิอุบัติ พัชรา เอี่ยมเจริญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-25 2025-10-25 11 1 13 23 ผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/csnp_veis1/article/view/261492 <p class="11"><span lang="TH">การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาก่อนเรียนกับหลังเรียน 2) เปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาหลังเรียน กับเกณฑ์ร้อยละ 75 3) <a name="_Hlk187149662"></a>เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาก่อนเรียนกับหลังเรียน และ 4) เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาหลังเรียน กับเกณฑ์ร้อยละ 75 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังเรียน ประชากร คือ นักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 9 ห้อง รวมทั้งสิ้น 213 คน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 แผนกวิชาช่างก่อสร้าง วิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ จ</span>ำ<span lang="TH">นวน 33 คน ได้มาโดยจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา จำนวน 3 แผนๆละ 6 ชั่วโมง รวม 18 ชั่วโมง 2) แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา และ 3) แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที </span></p> <p class="11"><span lang="TH">ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) ความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</span></p> พรมณี ฮุยเกี๊ยะ ทวีศักดิ์ จินดานุรักษ์ ดวงเดือน สุวรรณจินดา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-25 2025-10-25 11 1 24 33 ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดนครศรีธรรมราช https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/csnp_veis1/article/view/261894 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดนครศรีธรรมราช 2) ศึกษาการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์กับการบริหารงานวิชาการ และ 4) ศึกษาตัวแปรพยากรณ์ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอนจำนวน 260 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามขนาดสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีการมีวิสัยทัศน์และการทำงานเป็นทีมเป็นองค์ประกอบที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด 2) การบริหารงานวิชาการโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีการวัดผลและประเมินผล และการประกันคุณภาพ เป็นด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด 3) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงมากกับการบริหารงานวิชาการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) ตัวแปรภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ การมีวิสัยทัศน์ ความเป็นปัจเจกบุคคล ความยืดหยุ่นและปรับตัว ความคิดสร้างสรรค์ และการทำงานเป็นทีม ร่วมกันสามารถทำนายการบริหารงานวิชาการได้คิดเป็นร้อยละ 82.00 ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ในตัวผู้บริหารสถานศึกษามีความสำคัญต่อการยกระดับคุณภาพการบริหารงานวิชาการ และส่งผลต่อความสำเร็จในการพัฒนาศักยภาพผู้เรียนอย่างยั่งยืน</p> ภรพณา สุขใส สันติ อุนจะนำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-25 2025-10-25 11 1 34 42 รูปแบบการจัดการอาชีวศึกษาสำหรับผู้ด้อยโอกาส ของวิทยาลัยเทคนิคปากช่อง https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/csnp_veis1/article/view/260841 <p>การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพและแนวทางการจัดการอาชีวศึกษา 2) สร้างรูปแบบและทดลองใช้ภาคสนาม 3) นำรูปแบบสู่การปฏิบัติจริง และ 4) ประเมินผลการใช้รูปแบบ งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา แบ่งเป็น 4 ตอน กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 4 คน ครูผู้สอน จำนวน 24 คน บุคลากรส่วนการศึกษาจำนวน 24 คน และผู้ด้อยโอกาส จำนวน 118 คน รวมทั้งสิ้น 170 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบสนทนากลุ่มและแบบรายงาน การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการจัดการอาชีวศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และแนวทางการจัดการอาชีวศึกษา มี 3 องค์ประกอบ 2) ผลการสร้างรูปแบบ ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ผลการทดลองใช้ความพึงพอใจและความรู้ความเข้าใจในรูปแบบ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ผลการนำรูปแบบสู่การปฏิบัติจริง ความพึงพอใจและความรู้ความเข้าใจในรูปแบบ ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และ 4) ประเมินผลการใช้รูปแบบ พบว่า (1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผ่านเกณฑ์ตามหลักสูตร จำนวน 118 คน (2) สมรรถนะผู้สำเร็จการศึกษา คิดเป็นร้อยละ 90.64 (3) ความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปแบบ ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (4) ความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบ ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (5) หลังจากการใช้รูปแบบ ได้รับการลดระยะเวลาการลดโทษ เลื่อนชั้นโทษ พักโทษ พ้นโทษ จำนวน 118 คน (6) ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน จำนวน 15 คน และ (7) ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น จำนวน 118 คน</p> สุริยา พงษ์ศิริรักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-25 2025-10-25 11 1 43 52 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อของนักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประเภทวิชาคหกรรม ของวิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/csnp_veis1/article/view/261454 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยส่วนบุคคลของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประเภทวิชาคหกรรม 2) การตัดสินใจเลือกศึกษาต่อของนักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประเภทวิชาคหกรรม และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประเภทวิชาคหกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนที่กำลังศึกษาในประเภทวิชาคหกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 200 คน โดยสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อของนักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประเภทวิชาคหกรรม ของวิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบไคสแควร์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลของนักเรียน พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 16 - 18 ปี มีเกรดเฉลี่ยสะสม 3.51 ขึ้นไป กำลังศึกษาอยู่ในแผนกวิชาอาหารและโภชนาการ ผู้ปกครองมีรายได้ต่อเดือน 15,001 - 20,000 บาท 2) นักเรียนให้ความสำคัญกับการตัดสินใจเลือกเรียนต่อระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประเภทวิชาคหกรรม ของวิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ทั้ง 7 ด้านอยู่ในระดับมากและมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านครูผู้สอน ด้านสภาพแวดล้อมของวิทยาลัย ด้านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ด้านสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ ที่สนับสนุนการสอน ด้านการประกอบอาชีพ ด้านหลักสูตร และด้านภาพลักษณ์ของวิทยาลัย และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อของนักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประเภทวิชาคหกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช สรุปได้ดังนี้ (1) เพศและเกรดเฉลี่ยสะสมไม่มีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อของนักเรียน (2) อายุมีความสัมพันธ์กับด้านสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ ที่สนับสนุนการสอน แผนกวิชาที่เลือกศึกษาต่อมีความสัมพันธ์กับด้านการประกอบอาชีพ และรายได้ของผู้ปกครองต่อเดือนมีความสัมพันธ์กับด้านภาพลักษณ์ของวิทยาลัย ทั้ง 7 ด้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ณรงค์กร ทองหมื่น ทักษิณา เครือหงส์ ชญาภัทร์ กี่อาริโย ธนภพ โสตรโยม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-25 2025-10-25 11 1 53 65 แนวทางการบริหารจัดการระบบคัดกรองนักเรียน วิทยาลัยเทคนิคชุมพร สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/csnp_veis1/article/view/262182 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นของการบริหารจัดการระบบคัดกรองนักเรียน 2) พัฒนาแนวทางการบริหารจัดการระบบคัดกรองนักเรียน และ 3) ประเมินแนวทางการบริหารจัดการระบบคัดกรองนักเรียน รูปแบบวิจัยและพัฒนา การวิจัยมี 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การศึกษาความต้องการจำเป็น เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู จำนวน 59 คน ระยะที่ 2 พัฒนาแนวทางการบริหารจัดการ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบประชุมสนทนากลุ่ม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน​ 9 คน ระยะที่ 3 ประเมินแนวทางการบริหารจัดการ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบประเมินความเหมาะสม และความเป็นไปได้ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา และค่าดัชนีลำดับความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการจำเป็นสูงสุดด้านปัจจัยนำเข้ามีการพัฒนานวัตกรรมที่ใช้ในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ (PNI<sub>modified</sub> = 0.27) ด้านกระบวนการมีการนำผลการดำเนินงานมาปรับปรุง พัฒนา การดำเนินงาน (PNI<sub>modified</sub> = 0.21) และด้านผลผลิต นักเรียนได้รับการจัดกลุ่มอย่างเหมาะสม (PNI<sub>modified</sub> = 0.16) ตามลำดับ 2) ผลการพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการระบบคัดกรองนักเรียน ด้านปัจจัยนำเข้ามีการส่งเสริมให้มีการพัฒนานวัตกรรมอย่างเป็นระบบ ด้านกระบวนการ ควรให้ผู้บริหารได้เข้าร่วมวง PLC ของครูทุกครั้ง และด้านผลผลิต ครูที่ปรึกษาศึกษาเกณฑ์ในการคัดกรองนักเรียน และจัดกลุ่มผู้เรียนตามเกณฑ์ที่กำหนด 3) ผลการประเมินแนวทาง พบว่าระดับความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก</p> โกลัญญา ชูแก้ว พิชามญชุ์ สุรียพรรณ อนุ เจริญวงศ์ระยับ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-25 2025-10-25 11 1 66 75 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมกับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียน สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดกระบี่ https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/csnp_veis1/article/view/261913 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดกระบี่ 2) ศึกษาระดับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียน สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดกระบี่ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมกับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดกระบี่ 4) ศึกษาค้นคว้าตัวแปรภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมที่ใช้ในการพยากรณ์การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดกระบี่ เป็นการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่างคือ ครู สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดกระบี่ ปีการศึกษา 2567 จำนวน 265 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามขนาดสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดกระบี่ ในภาพรวมทุกด้าน อยู่ในระดับมาก​ที่สุด 2) ระดับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียน สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดกระบี่ ในภาพรวมทุกด้าน อยู่ในระดับมาก​ที่สุด 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมกับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดกระบี่ โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันเชิงบวกในระดับสูงมากอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ .01 4) โดยสมการพยากรณ์ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมที่ส่งผลต่อการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียน สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดกระบี่ ในรูปแบบคะแนนดิบ มีดังนี้ <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\hat{Y}" alt="equation" /> = 4.988 + 0.176(X<sub>5</sub>) + 0.110(X<sub>3</sub>) + 0.109 (X<sub>4</sub>) + 0.080(X<sub>1</sub>) + 0.008(X<sub>2</sub>) ในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน มีดังนี้ <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\hat{Z}" alt="equation" /> = 0.220(X<sub>5</sub>) + 0.155(X<sub>4</sub>) + 0.141(X<sub>3</sub>) + 0.138(X<sub>1</sub>) + 0.011(X<sub>2</sub>)</p> สรณ์กฤศจันทร์ บังเศียร ทิพมาศ เศวตวรโชติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-25 2025-10-25 11 1 76 84 การพัฒนาสมรรถนะการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืนและการเห็นคุณค่าในตนเอง ด้วยหน่วยการเรียนรู้บูรณาการเชิงพื้นที่ตามแนวคิดสตีมศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/csnp_veis1/article/view/261942 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาสมรรถนะการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด้วยหน่วยการเรียนรู้บูรณาการเชิงพื้นที่ ตามแนวคิดสตีมศึกษา และ 2) พัฒนาการเห็นคุณค่าในตนเอง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด้วยหน่วยการเรียนรู้บูรณาการเชิงพื้นที่ ตามแนวคิดสตีมศึกษา ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนชุมชนวัดท่าเดื่อ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 20 คน ได้มาโดยวิธีเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ หน่วยการเรียนรู้บูรณาการเชิงพื้นที่ ตามแนวคิดสตีมศึกษา แบบประเมินสมรรถนะการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืน และแบบประเมินการเห็นคุณค่าในตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) การพัฒนาสมรรถนะการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนด้วยหน่วยการเรียนรู้บูรณาการเชิงพื้นที่ ตามแนวคิดสตีมศึกษา สูงกว่าก่อนเรียน โดยมีค่าคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ เท่ากับ 65.87 แปลผลได้ว่ามีพัฒนาการอยู่ในระดับสูง 2) การพัฒนาการเห็นคุณค่าในตนเอง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนด้วยหน่วยการเรียนรู้บูรณาการเชิงพื้นที่ ตามแนวคิดสตีมศึกษา สูงกว่าก่อนเรียน โดยมีค่าคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ เท่ากับ 66.23 แปลผลได้ว่ามีพัฒนาการอยู่ในระดับสูง</p> กรวลี ยอดเมือง ศักดา สวาทะนันทน์ นทัต อัศภาภรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-25 2025-10-25 11 1 85 93 การใช้กลวิธี เอส ที เอ อาร์ ร่วมกับเกมมิฟิเคชั่นเพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา ทางคณิตศาสตร์และสมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/csnp_veis1/article/view/261943 <p>การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธี เอส ที เอ อาร์ ร่วมกับเกมมิฟิเคชั่น ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และ 2) ศึกษาสมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีมของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธี เอส ที เอ อาร์ ร่วมกับเกมมิฟิเคชั่น ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านบวกค้าง ปีการศึกษา 2567 จำนวน 12 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธี เอส ที เอ อาร์ ร่วมกับเกมมิฟิเคชั่น เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และสมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีมจำนวน 5 แผน 15 ชั่วโมง 2) แบบวัดทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และ 3) แบบประเมินสมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และคะแนนร้อยละพัฒนาการ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธี เอส ที เอ อาร์ ร่วมกับเกมมิฟิเคชั่นหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยเฉลี่ยเท่ากับ 7.17 มีคะแนนร้อยละพัฒนาการเท่ากับ 80.95 แปลผลได้ว่าระดับพัฒนาการอยู่ในระดับสูงมาก 2) สมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีมของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธี เอส ที เอ อาร์ ร่วมกับเกมมิฟิเคชั่น ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น โดยมีคะแนนร้อยละ 91.30 แปลผลได้ว่ามีคะแนนอยู่ในระดับเหนือความคาดหวัง</p> ณัฐธิดา กันทะมา ศักดา สวาทะนันทน์ นทัต อัศภาภรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-25 2025-10-25 11 1 94 102