PSRU Journal of Science and Technology

INFLUENCE OF SURFACE MODIFICATION AND FIBER LOADING ON THE PROPERTIES OF RICE STRAW-REINFORCED EPOXY COMPOSITES

2024-08-26T16:08:01+07:00

Fiber-reinforced composites have found extensive applications in construction, automotive, aerospace, and many fields. As a result of global sustainable development and environmental concern, however, natural fibers have become increasingly attractive over synthetic fibers due to their light weight, low cost, abundance, and biodegradability. This study has been carried out to evaluate the potential use of rice straw fiber as a reinforcement material for epoxy composite. Rice straw fibers were treated with NaOH aqueous solution and silane coupling agent, respectively, before they were applied into epoxy composites. The effect of surface modification and fiber contents on mechanical properties was investigated by flexural and impact tests. Compared with untreated rice straw fiber reinforced epoxy composite, fiber treated with 3% NaOH followed by 3% silane coupling agent showed the highest flexural strength and the maximum flexural strength was obtained at 15% fiber content. The untreated rice straw fiber reinforced epoxy composite, however, showed the highest impact strength as compared to all treated fibers and the maximum impact strength for untreated rice straw fiber filled epoxy composite was also obtained at 15% fiber content. The surface modified rice straw fiber composites exhibited lower water absorption values than those of untreated fiber-based composites.

ประสิทธิภาพของตัวเก็บประจุยิ่งยวดของถ่านกัมมันต์จากเมล็ดมะขาม

2024-09-10T08:55:56+07:00

จังหวัดเพชรบูรณ์มีมะขามหวานเป็นผลไม้ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เมื่อนำมารับประทานและนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จากเนื้อมะขาม ซึ่งทำให้มีเศษเหลือทิ้ง คือ เมล็ดและเปลือกฝักมะขามนั้นยังสามารถนำมาสังเคราะห์เป็นถ่านกัมมันต์ที่มีประโยชน์ที่หลากหลาย โดยที่ในด้านพลังงานนั้นสามารถใช้ทำขั้วไฟฟ้าของตัวเก็บประจุยิ่งยวดได้ ในงานวิจัยนี้ได้ศึกษาประสิทธิภาพของถ่านกัมมันต์จากเมล็ดมะขามผสมกับคาร์บอนแบล็คในสัดส่วนโดยน้ำหนัก 1.00 : 0.25 1.00 : 0.67 1.00 : 1.00 1.00 : 1.50 และ 1.00 : 4.00 แล้วนำไปเคลือบบนแผ่นอะลูมิเนียม เพื่อใช้เป็นขั้วไฟฟ้าของตัวเก็บประจุยิ่งยวดชนิด Coin cell ขนาดรูพรุนและพื้นที่ผิวถูกวิเคราะห์ด้วยเทคนิค Brunauer-Emmett-Teller; BET พบว่า ถ่านกัมมันต์จากเมล็ดมะขามมีขนาดรูพรุนที่เล็กกว่าเปลือกฝักมะขาม และมีพื้นที่ผิวสูงกว่าเปลือกฝักมะขามเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงเลือกใช้ถ่านกัมมันต์จากเมล็ดมะขาม จากภาพถ่ายด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (SEM) จะเห็นได้คาร์บอนแบล็คยึดเกาะกับถ่านกัมมันต์จากเมล็ดมะขาม ตรวจสอบหมู่ฟังก์ชันด้วยเทคนิคฟูเรียร์ทรานส์ฟอร์มอินฟราเรดสเปกโตรสโคปี (FT-IR) พบว่า ที่ตำแหน่งเลขคลื่น 3,400 cm^-1 เป็นพันธะ O-H stretch ในสัดส่วนของเมล็ดมะขามผสมกับคาร์บอนแบล็ค 1.00 : 0.67 มีการดูดกลืนมากที่สุด และในช่วง 1,200-500 cm^-1 เป็นช่วงที่มีพันธะคาร์บอนจำนวนมาก ถ่านกัมมันต์จากเมล็ดมะขามที่ผสมกับคาร์บอนแบล็คมีการดูดกลืนที่สูง การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของตัวเก็บประจุยิ่งยวดจากเมล็ดมะขามและผสมกับคาร์บอนแบล็ค มีค่าความหนาแน่นของพลังงาน และความจุไฟฟ้าจำเพาะสูงกว่าคาร์บอนแบล็ค ดังนั้นถ่านกัมมันต์จากเมล็ดมะขามจึงเหมาะสมสำหรับการนำไปประยุกต์ใช้เป็นขั้วไฟฟ้าตัวเก็บประจุยิ่งยวด

ENHANCING GERMINATION AND SEEDLING GROWTH OF PEANUT TAINAN 9 VARIETY THROUGH SEED COATING WITH ENTEROBACTER KOBEI

2024-09-04T14:29:22+07:00

Peanuts can be grown year-round, yet the supply remains insufficient to meet consumer demand. This shortfall is primarily due to high cultivation costs from fertilizer use and poor-quality seeds, which result in uneven germination, weak seedlings, and susceptibility to pests and diseases. To address these issues, seed coating technology is essential for enhancing seed quality before planting. This study aimed to determine the optimal concentration of Enterobacter kobei for seed coating and to evaluate its effects on various seed quality parameters. The results indicated that coating seeds with E. kobei at 6.60x10⁸ CFU/mL significantly improved germination rates and speed of germination compared to non-coated seeds under both sand and greenhouse conditions. Additionally, seeds coated with E. kobei at concentrations of 6.60x10⁸ CFU/mL, 6.60x10⁹ CFU/mL, and 6.60x10¹⁰ CFU/mL exhibited significantly greater shoot length, root length, seedling length, shoot fresh weight, root fresh weight, shoot dry weight, and root dry weight in both testing conditions. In conclusion, coating peanut seeds with E. kobei at 6.60x10⁸ CFU/mL is recommended for enhancing the germination, vigor, and growth of Tainan 9 peanut seedlings.

การประเมินปริมาณโลหะหนักที่ปนเปื้อนในเมล็ดข้าว กรณีศึกษา: ตำบลเกาะไร่ อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา

2024-10-20T16:15:13+07:00

การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินปริมาณโลหะหนัก ได้แก่ แมงกานีส (Mn) ทองแดง (Cu) สังกะสี (Zn) แคดเมียม (Cd) และสารหนูรวม (Total As) ที่ปนเปื้อนในตัวอย่างเมล็ดข้าวหลังเก็บเกี่ยว จากพื้นที่ศึกษา 5 แปลงนา ในตำบลเกาะไร่ อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ทำการตรวจวิเคราะห์โลหะหนักที่ปนเปื้อนในตัวอย่างเมล็ดข้าวพันธุ์จัสมิน โดยใช้เทคนิคอินดัคทีฟคัพเพิลพลาสมาแมสสเปคโตรมิทรี (Inductively Coupled Plasma Mass Spectrometry; ICP-MS) และการสังเกตพฤติกรรมการใช้สารเคมีทางการเกษตรของเกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวทั้ง 5 แปลง ผลการศึกษา พบว่า ตัวอย่างเมล็ดข้าวมีการปนเปื้อนของแมงกานีสมากที่สุด(14.799-31.479 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) รองลงมา คือ สังกะสี ทองแดง สารหนูรวม และแคดเมียม ตามลำดับ โดยมีค่าอยู่ในช่วง 14.549-18.368 2.393-3.859 0.094-0.105 และ 0.013-0.032 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตามลำดับ ซึ่งถือว่า ปริมาณการปนเปื้อนในช่วงดังกล่าวไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้ปริมาณโลหะหนักที่ปนเปื้อน ตัวอย่างเมล็ดข้าวอาจมีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้สารเคมีทางการเกษตรของเกษตรกร ดังนั้นเกษตรกรผู้เพาะปลูกควรลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร โดยเลือกใช้สารเคมีเท่าที่จำเป็น และทดลองใช้สารอินทรีย์ชีวภาพที่มีประสิทธิภาพทดแทนการใช้สารเคมี ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการตกค้างสะสมของสารเคมีในผลผลิต ลดต้นทุนในการผลิต รวมทั้งส่งผลดี ต่อสุขภาพและความปลอดภัยของเกษตรกรและผู้บริโภคในห่วงโซ่อาหาร

ผลของน้ำมันหอมระเหยผิวมะกรูดในรูปอิมัลชัน ต่อ SALMONELLA TYPHIMURIUM บนใบโหระพา

2024-11-03T13:13:22+07:00

การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบผลของน้ำมันหอมระเหยผิวมะกรูดในรูปอิมัลชันต่อ Salmonella Typhimurium (S. Typhimurium) บนใบโหระพา โดยหาความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อ (Minimum inhibitory concentration; MIC) และทำลายเชื้อแบคทีเรียได้ (Minimum bactericidal concentration; MBC) ด้วยวิธี Macrobroth dilution พบว่า ค่า MIC และ MBC มีค่าเท่ากัน คือ 0.50% เมื่อทดสอบเวลาในการฆ่าเชื้อ (Time-kill assay) พบว่า น้ำมันหอมระเหยผิวมะกรูดในรูปอิมัลชันความเข้มข้น 0.50% สามารถลดจำนวน S. Typhimurium ได้ >99.90% ภายในเวลา 5 นาที และได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพในการลดจำนวน S. Typhimurium บนใบโหระพา พบว่า น้ำมันหอมระเหยผิวมะกรูดในรูปอิมัลชันความเข้มข้น 0.50% (1xMIC) และ 1% (2xMIC) สามารถลดจำนวนเชื้อ S. Typhimurium บนใบโหระพาได้แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) เมื่อเทียบกับชุดควบคุม และน้ำมันหอมระเหยผิวมะกรูดในรูปอิมัลชันความเข้มข้น 1% (2xMIC) สามารถลดจำนวนเชื้อได้มากกว่าความเข้มข้น 0.50% (1xMIC) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) นอกจากนี้ยังพบว่า การล้างด้วยน้ำมันหอมระเหยผิวมะกรูดในรูปอิมัลชันทั้งสองความเข้มข้นไม่มีผลต่อสีของใบโหระพา (P>0.05) ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า น้ำมันหอมระเหยผิวมะกรูดในรูปอิมัลชันมีประสิทธิภาพในการลดจำนวน S. Typhimurium ที่ปนเปื้อนบนใบโหระพา ซึ่งอาจสามารถนำมาใช้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเป็นสารทำความสะอาดผักสดได้

ผลของวิธีการทำแห้งกัญชาและสัดส่วนชาสมุนไพรที่มีส่วนผสมของกัญชาต่อสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพและการต้านอนุมูลอิสระ

2024-11-05T09:13:27+07:00

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการทำแห้งต่อสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพและกิจกรรมการต้านอนุมูลอิสระในกัญชา และศึกษาผลของส่วนประกอบของชาต่อปริมาณสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ และกิจกรรมการต้านอนุมูลอิสระในชาสมุนไพรที่มีส่วนผสมของกัญชา โดยนำใบกัญชาพันธุ์หางกระรอกมาทำแห้งด้วยตู้อบลมร้อนที่อุณหภูมิ 45^°C และ 60^°C และทำแห้งแบบแช่เยือกแข็ง ใบกัญชาแห้งถูกวิเคราะห์ปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (THC) และปริมาณสารแคนนาบิไดออล (CBD) ในขณะที่กิจกรรมการต้านอนุมูลอิสระวิเคราะห์โดยใช้วิธี DPPH เตรียมชาสมุนไพรโดยนำใบกัญชาทำแห้งด้วยตู้อบลมร้อนอุณหภูมิ 45^°C บดละเอียดผสมกับสมุนไพรอื่นๆ ได้เป็นชาสมุนไพรที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม 3 สูตร วิเคราะห์ปริมาณสาร THC ปริมาณสาร CBD ในขณะที่กิจกรรมการต้านอนุมูลอิสระวิเคราะห์โดยใช้วิธี DPPH ผลการทดลอง พบว่า การทำแห้งใบกัญชาด้วยตู้อบลมร้อนที่อุณหภูมิ 45°C ให้ปริมาณสาร THC สูงที่สุด (6,003.22±3.10 mg/kg) แต่ไม่พบสาร CBD ในใบกัญชาที่ผ่านการทำแห้งทุกวิธี ปริมาณกิจกรรมต้านอนุมูลอิสระใน ใบกัญชาอบแห้ง 3 วิธี พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P≤0.05) ชาสมุนไพรที่มีกัญชาเป็นส่วนประกอบสูตร 3 (ใบกัญชาอบแห้ง 10% เจียวกู่หลาน 60% และดอกคาโมมายล์ 30%) ให้กิจกรรมต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดและมีสาร THC และ CBD ไม่เกินเกณฑ์ตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข การศึกษานี้ให้ข้อมูลสำคัญในการกำหนดปริมาณใบกัญชาที่เหมาะสมสำหรับสูตรชาสมุนไพร โดยผลการวิจัยช่วยให้มั่นใจได้ว่าระดับ THC และ CBD จะอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดต่อหน่วยบริโภค ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอนาคตสำหรับผู้ประกอบการ

ปริมาณฟีนอลและฟลาโวนอยด์รวม ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ยับยังเชื้อแบคทีเรียก่อโรคของสารสกัดเอทานอลจากดอกกุหลาบอินทรีย์

2024-11-10T13:51:14+07:00

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปริมาณฟีนอลและฟลาโวนอยด์รวม ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียก่อโรคบางชนิด ของสารสกัดเอทานอลจากดอกกุหลาบ 3 สายพันธุ์ ได้แก่ กุหลาบมอญแดงประเสริฐ (Rosa damascena cv. Dang Prasert) กุหลาบมอญไกลกังวล (Rosa damascena cv. Klai Kangwon) และกุหลาบบีชอปอังกฤษ (Rosa hybrid cv. Bishop’s castle) ซึ่งปลูกด้วยเกษตรอินทรีย์โดยกลุ่มเกษตรกรใน อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ จากการหาปริมาณฟีนอลรวมด้วยวิธีฟอลินซิโอแคลตู ปริมาณฟลาโวนอยด์รวมด้วยวิธีอะลูมิเนียมคลอไรด์ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีดีพีพีเอช และฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียก่อโรคบางชนิดด้วยวิธี Agar well diffusion พบว่าสารสกัดหยาบจากดอกกุหลาบมอญแดงประเสริฐ กุหลาบมอญไกลกังวล และกุหลาบบีชอปอังกฤษ มีปริมาณฟีนอลรวมเท่ากับ 606.60 92.31 และ 101.93 มิลลิกรัมสมมูลกรดแกลลิกต่อกรัมสารสกัด ตามลำดับ มีปริมาณฟลาโวนอยด์รวมเท่ากับ 178.76 42.99 และ 38.62 มิลลิกรัมสมมูลเคอร์ซิตินต่อกรัมสารสกัด ตามลำดับ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีพีพีเอชด้วยค่า IC₅₀ เท่ากับ 7.40 25.00 และ 30.00 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ตามลำดับ โดยใช้วิตามินซีและโทรลอกซ์เป็นสารมาตรฐาน สารสกัดจากดอกกุหลาบมอญแดงประเสริฐ กุหลาบมอญไกลกังวล และกุหลาบบีชอปอังกฤษ สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียแกรมบวก 2 ชนิด คือ Staphylococcus aureus และ Bacillus cereus และยับยั้งเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ 1 ชนิด คือ Proteus mirabilis แต่ไม่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ Escherichia coli จากผลการวิจัยครั้งนี้สามารถนำไปเป็นข้อมูลในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพได้ในอนาคต

AN OVERVIEW OF THE PATHOGENESIS, TRANSMISSION, AND PREVENTION STRATEGIES OF RAT-BITE FEVER IN HUMANS

2024-12-12T15:19:38+07:00

Rat bite fever (RBF) is a zoonotic disease caused by the bacteria Spirillum minus, Streptobacillus moniliformis, and Streptobacillus notomytis. In 1926, an S. moniliformis outbreak in Haverhill, Massachusetts, linked to contaminated milk, caused “Haverhill Disease.” S. moniliformis is prevalent in the Americas, while S. minus is more common in Asia. In 2018, Okinawa, Japan, documented the first human case of RBF caused by S. notomytis (Fukushima et al., 2018). Key animal carriers include rodents such as black rats (Rattus rattus) and brown rats (Rattus norvegicus), which asymptomatically harbor these bacteria as part of their natural flora. The disease is transmitted to humans through wounds from bites or scratches. Infected individuals typically present with high fever, rash, and painful swelling in the joints. Without treatment, the mortality rate can reach up to 10%, with complications such as myocarditis, pericarditis, and meningitis being potential causes of death. High-risk groups include individuals whose occupations involve frequent contact with rodents or those working in environments prone to rodent infestations, such as food processing facilities that often attract rodents. Treatment involves antibiotics, which significantly reduce the mortality rate. Diagnosing RBF is challenging due to the need for specific environmental conditions to isolate and culture the bacteria. This restriction is a reflection of the present knowledge gaps on the disease's pathogenic mechanisms. Prevention and control strategies focus on maintaining strict hygiene practices and avoiding contact with rodents to minimize the risk of infection.

บทบรรณาธิการ

2025-08-23T16:15:13+07:00

บทบรรณาธิการ

สารบัญ

2025-08-23T16:14:15+07:00

สารบัญ