วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยปทุมธานี
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST
<div> <div><strong>วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยปทุมธานี</strong><br />ISSN xxxx-xxxx (Print)<br />ISSN xxxx-xxxx (Online)</div> <strong>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี (เดิม)</strong></div> <div>ISSN 2697-5289 (Print) (เดิม)<br />ISSN 2697-3820 (Online) (เดิม)</div> <div> </div> <div><strong>ขอบเขตและนโยบายวารสาร<br /></strong><strong>วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยปทุมธานี </strong>เป็นวารสารทางวิชาการ จัดเผยแพร่โดยมหาวิทยาลัยปทุมธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ ถ่ายทอดองค์ความรู้ ด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยมีขอบเขตเนื้อหาการตีพิมพ์ ประกอบด้วย การสาธารณสุข การพยาบาล การแพทย์แผนไทย วิทยาศาสตร์การกีฬา อนามัยสิ่งแวดล้อม อาชีวอนามัยและความปลอดภัย และด้านอื่น ๆ ที่บูรณาการเกี่ยวข้องกับสุขภาพ</div> <div> </div> <div><strong>วัตถุประสงค์</strong></div> <div> วารสารมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้คณาจารย์ นักวิชาการ นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ</div> <div> </div> <div> <div><strong>กำหนดการออกวารสาร</strong></div> <div> ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน</div> <div> ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม - ธันวาคม<br /> กำหนดการออกบทความละ 5-7 บทความ</div> <div> </div> <div> <div><strong>ประเภทบทความ</strong></div> <div> บทความวิจัย</div> <div> บทความวิชาการ</div> <div> </div> <div> <div><strong>การตีพิมพ์บทความ</strong></div> <div>วารสารรับตีพิมพ์บทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</div> <div> </div> <div> <div> <div><strong>เงื่อนไขการตีพิมพ์</strong></div> <div> 1. การพิจารณาผลงานที่จะลงตีพิมพ์ต้องได้รับการพิจารณากลั่นกรอง โดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer review) จากภายในและภายนอก ซึ่งไม่ใช่สังกัดเกี่ยวกับผู้แต่ง จำนวน 3 ท่าน ซึ่งผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แต่งไม่ทราบชื่อซึ่งกันและกัน (Double blind peer review)</div> <div> 2. การพิจารณาข้อมูลในบทความถือเป็นความคิดเห็นของผู้เขียน กองบรรณธิการไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการรับผิดชอบใดๆ </div> <div> 3. บทความใดที่เกี่ยวกับมนุษย์ หรือสัตว์ทดลอง ต้องผ่านการพิจารณาจริยธรรมจากคณะกรรมการวิจัย</div> </div> <div><span style="font-size: 0.875rem;"> </span></div> <div> <div><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></div> <div> ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมทุกกระบวนการ</div> </div> </div> </div> </div> </div>
th-TH
<p>ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะใดๆ ที่นำเสนอในบทความเป็นของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว โดยบรรณาธิการ กองบรรณาธิการ และคณะกรรมการวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด มหาวิทยาลัย บรรณาธิการ และกองบรรณาธิการจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดหรือผลที่เกิดจากการใช้ข้อมูลที่ปรากฏในวารสารฉบับนี้ </p>
ptujst@ptu.ac.th (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นฤนาท ยืนยง)
phanthakan.y@ptu.ac.th (อาจารย์พันธะกานต์ ยืนยง)
Fri, 04 Jul 2025 00:00:00 +0700
OJS 3.3.0.8
http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss
60
-
ผลของการให้ความรู้แก่ผู้ป่วยโรคหัวใจ และหลอดเลือด ในการใช้ยาวาร์ฟารินต่อการควบคุมระดับไอเอ็นอาร์ ในหอผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลค้อวัง
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/261435
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการให้ความรู้แก่ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดในการใช้ยาวาร์ฟารินต่อการควบคุมระดับไอเอ็นอาร์ (INR) ก่อนและหลังการให้ความรู้ โดยมีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 40 ราย ซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ได้รับการรักษาด้วยยาวาร์ฟารินและติดตามผลที่โรงพยาบาลค้อวัง เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถามและแบบเก็บข้อมูลระดับ INR วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าเฉลี่ย และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของปัจจัยที่เปรียบเทียบความรู้ก่อนและหลังการให้ความรู้ด้วยการทดสอบ Paired t-test และวิเคราะห์ข้อมูลระดับ INR โดยใช้สถิติ Repeated Measures ANOVA <br /> ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 70.00 มีอายุมากกว่า 60 ปี ร้อยละ 77.50 จบระดับชั้นประถมศึกษา ร้อยละ 75.00 ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 97.50 และผู้ป่วยทุกรายมีประวัติการใช้ยาวาร์ฟาริน เมื่อเปรียบเทียบการให้ความรู้พบว่าค่าเฉลี่ยก่อนการให้ความรู้อยู่ที่ 7.40 (S.D. = 1.61) และหลังให้ความรู้เท่ากับ 8.50 (S.D. = 1.26) ในส่วนของค่าเฉลี่ยของพฤติกรรมการใช้ยาวาร์ฟารินก่อนการให้ความรู้เท่ากับ 3.92 (S.D. = 0.42) และหลังการให้ความรู้เท่ากับ 4.26 (S.D. = 0.31) ในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า การให้ความรู้เรื่องการใช้ยาวาร์ฟารินมีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการใช้ยาวาร์ฟารินและค่า INR อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 <br /> ดังนั้น ควรส่งเสริมการให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาวาร์ฟารินแก่ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในผู้สูงอายุเพื่อการควบคุมระดับ INR อย่างเหมาะสม</p>
ปาณิสรา คงดี
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/261435
Sat, 05 Jul 2025 00:00:00 +0700