วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยปทุมธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST <div> <div><strong>วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยปทุมธานี</strong><br />ISSN 3088-2516 (Online)</div> <strong>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี (เดิม)</strong></div> <div>ISSN 2697-5289 (Print) (เดิม)<br />ISSN 2697-3820 (Online) (เดิม)</div> <div> </div> <div><strong>ขอบเขตและนโยบายวารสาร<br /></strong><strong>วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยปทุมธานี </strong>เป็นวารสารทางวิชาการ จัดเผยแพร่โดยมหาวิทยาลัยปทุมธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ ถ่ายทอดองค์ความรู้ ด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยมีขอบเขตเนื้อหาการตีพิมพ์ ประกอบด้วย การสาธารณสุข การพยาบาล การแพทย์แผนไทย วิทยาศาสตร์การกีฬา อนามัยสิ่งแวดล้อม อาชีวอนามัยและความปลอดภัย และด้านอื่น ๆ ที่บูรณาการเกี่ยวข้องกับสุขภาพ</div> <div> </div> <div><strong>วัตถุประสงค์</strong></div> <div> วารสารมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้คณาจารย์ นักวิชาการ นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ</div> <div> </div> <div> <div><strong>กำหนดการออกวารสาร</strong></div> <div> ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน</div> <div> ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม - ธันวาคม<br /> กำหนดการออกบทความละ 5-7 บทความ</div> <div> </div> <div> <div><strong>ประเภทบทความ</strong></div> <div> บทความวิจัย</div> <div> บทความวิชาการ</div> <div> </div> <div> <div><strong>การตีพิมพ์บทความ</strong></div> <div>วารสารรับตีพิมพ์บทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</div> <div> </div> <div> <div> <div><strong>เงื่อนไขการตีพิมพ์</strong></div> <div> 1. การพิจารณาผลงานที่จะลงตีพิมพ์ต้องได้รับการพิจารณากลั่นกรอง โดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer review) จากภายในและภายนอก ซึ่งไม่ใช่สังกัดเกี่ยวกับผู้แต่ง จำนวน 3 ท่าน ซึ่งผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แต่งไม่ทราบชื่อซึ่งกันและกัน (Double blind peer review)</div> <div> 2. การพิจารณาข้อมูลในบทความถือเป็นความคิดเห็นของผู้เขียน กองบรรณธิการไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการรับผิดชอบใดๆ </div> <div> 3. บทความใดที่เกี่ยวกับมนุษย์ หรือสัตว์ทดลอง ต้องผ่านการพิจารณาจริยธรรมจากคณะกรรมการวิจัย</div> </div> <div><span style="font-size: 0.875rem;"> </span></div> <div> <div><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></div> <div> ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมทุกกระบวนการ</div> </div> </div> </div> </div> </div> th-TH <p>ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะใดๆ ที่นำเสนอในบทความเป็นของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว โดยบรรณาธิการ กองบรรณาธิการ และคณะกรรมการวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด มหาวิทยาลัย บรรณาธิการ และกองบรรณาธิการจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดหรือผลที่เกิดจากการใช้ข้อมูลที่ปรากฏในวารสารฉบับนี้ &nbsp;</p> ptujst@ptu.ac.th (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นฤนาท ยืนยง) phanthakan.y@ptu.ac.th (อาจารย์พันธะกานต์ ยืนยง) Fri, 04 Jul 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 บทบรรณาธิการ https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/265189 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; วารสารฉบับนี้เป็นเล่มที่ 2 ปีที่ 6 ประจำเดือนกรกฎาคมถึงธันวาคม พ.ศ. 2568 ซึ่งได้มีการดำเนินการเปลี่ยนแปลงชื่อจาก “วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี” เป็น <strong>&nbsp;“วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยปทุมธานี”</strong> เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงขอบเขตที่ชัดเจนในเผยแพร่ และเตรียมความพร้อมสำหรับกาประเมินเพื่อเข้าสู่ฐาน TCI โดยได้รวบรวมบทความวิจัยคุณภาพจากหลากหลายสาขาทางวิทยาศาสตร์ ทั้ง การสาธารณสุข การพยาบาล อาชีวอนามัยและความปลอดภัย และด้านอื่น ๆ ที่บูรณาการเกี่ยวข้องกับสุขภาพหรือส่งผลกระทบต่อสุขภาพเพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่องค์ความรู้ใหม่และส่งเสริมการวิจัยในวงการวิชาการ ในฉบับนี้ประกอบด้วย บทความวิจัย จำนวน 7 เรื่อง บทความทั้งหมดในฉบับนี้งสะท้อนถึงความร่วมมือทางวิชาการอันหลากหลาย ทางกองบรรณาธิการหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลงานวิจัยและบทความวิชาการในฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อ นักวิชาการ นักศึกษา บุคลากรทางการแพทย์ และผู้สนใจทั่วไป ทั้งในด้านการนำไปประยุกต์ใช้หรือต่อยอดการวิจัยในอนาคต<br>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้สนใจสามารถส่งบทความเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารฯ โดยศึกษารายละเอียดได้ที่ "คำแนะนำสำหรับผู้เขียน" ในเว็บไซต์วารสาร: https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST</p> ผศ.ดร.นฤนาท ยืนยง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/265189 Wed, 10 Dec 2025 00:00:00 +0700 ผลของการให้ความรู้แก่ผู้ป่วยโรคหัวใจ และหลอดเลือด ในการใช้ยาวาร์ฟารินต่อการควบคุมระดับไอเอ็นอาร์ ในหอผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลค้อวัง https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/261435 <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการให้ความรู้แก่ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดในการใช้ยาวาร์ฟารินต่อการควบคุมระดับไอเอ็นอาร์ (INR) ก่อนและหลังการให้ความรู้ โดยมีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 40 ราย ซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ได้รับการรักษาด้วยยาวาร์ฟารินและติดตามผลที่โรงพยาบาลค้อวัง เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถามและแบบเก็บข้อมูลระดับ INR วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าเฉลี่ย และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของปัจจัยที่เปรียบเทียบความรู้ก่อนและหลังการให้ความรู้ด้วยการทดสอบ Paired t-test และวิเคราะห์ข้อมูลระดับ INR โดยใช้สถิติ Repeated Measures ANOVA <br /> ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 70.00 มีอายุมากกว่า 60 ปี ร้อยละ 77.50 จบระดับชั้นประถมศึกษา ร้อยละ 75.00 ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 97.50 และผู้ป่วยทุกรายมีประวัติการใช้ยาวาร์ฟาริน เมื่อเปรียบเทียบการให้ความรู้พบว่าค่าเฉลี่ยก่อนการให้ความรู้อยู่ที่ 7.40 (S.D. = 1.61) และหลังให้ความรู้เท่ากับ 8.50 (S.D. = 1.26) ในส่วนของค่าเฉลี่ยของพฤติกรรมการใช้ยาวาร์ฟารินก่อนการให้ความรู้เท่ากับ 3.92 (S.D. = 0.42) และหลังการให้ความรู้เท่ากับ 4.26 (S.D. = 0.31) ในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า การให้ความรู้เรื่องการใช้ยาวาร์ฟารินมีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการใช้ยาวาร์ฟารินและค่า INR อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 <br /> ดังนั้น ควรส่งเสริมการให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาวาร์ฟารินแก่ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในผู้สูงอายุเพื่อการควบคุมระดับ INR อย่างเหมาะสม</p> ปาณิสรา คงดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/261435 Sat, 05 Jul 2025 00:00:00 +0700 การประเมินโครงการพัฒนาทักษะ ความรู้ และศักยภาพของเจ้าหน้าที่ด้านควบคุมการติดเชื้อ โรงพยาบาลปทุมธานี ปีงบประมาณ 2567 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/262624 <p> การศึกษาวิจัยเชิงประเมินนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินโครงการพัฒนาทักษะ ความรู้ และศักยภาพของเจ้าหน้าที่ด้านควบคุมการติดเชื้อ โรงพยาบาลปทุมธานี ปีงบประมาณ 2567 ตามรูปแบบการประเมินโครงการของ CIPP Model กลุ่มตัวเป็นพยาบาลวิชาชีพที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาทักษะ ความรู้ และศักยภาพของเจ้าหน้าที่ด้านควบคุมการติดเชื้อ โรงพยาบาลปทุมธานี ปีงบประมาณ 2567 จำนวน 43 ราย ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนพฤษภาคม - กันยายน 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจากการทบทวนวรรณกรรม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติ Paired t-test<br /> การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงทั้งหมด มีอายุเฉลี่ย 38.10 ปี และส่วนใหญ่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยอายุรกรรม ร้อยละ 20.93 ผลการประเมินความสอดคล้องและความเหมาะสมของโครงการฯ ในด้านบริบท ปัจจัยนำเข้า กระบวนการ ผลผลิต และภาพรวม พบว่าอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานตามลำดับ ดังนี้ บริบท (= 4.79, S.D. = 0.43), ปัจจัยนำเข้า (= 4.64, S.D. = 0.54), กระบวนการ (= 4.69, S.D. = 0.56), ผลผลิต ( = 4.77, S.D. = 0.53) และภาพรวมของโครงการ (= 4.72, S.D. = 0.50) ทั้งนี้ด้านบริบทได้รับคะแนนเฉลี่ยสูงสุด ทั้งนี้โครงการนี้มีความสอดคล้องและเหมาะสม แต่ควรเพิ่มระยะเวลาในการจัดอบรม กลุ่มตัวอย่างมีความรู้หลังเข้าร่วมโครงการสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโครงการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; .001) และระดับความพึงพอใจของโครงการภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.72, S.D. = 0.48)<br /> ดังนั้นในการดำเนินการควบคุมโรคในโรงพยาบาลควรมีการอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ด้านควบคุมการติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มระยะเวลาในการจัดการอบรมในโครงการ รวมถึงสนับสนุนงบประมาณอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้ผู้เข้ารับการอบรมได้ฝึกทักษะเชิงปฏิบัติอย่างเพียงพอ นำไปสู่ความยั่งยืนในการพัฒนาศักยภาพของเจ้าหน้าที่ควบคุมการติดเชื้อในระยะยาว</p> วัทธิกร มั่นจิตร์, สุชาญวัชร สมสอน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/262624 Sat, 06 Sep 2025 00:00:00 +0700 ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว (Cutibacterium acnes) จากสารสกัดดอกกุหลาบมอญ https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/262696 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียของสารสกัดจากดอกกุหลาบมอญ (<em>Rosa damascena</em>) ต่อเชื้อ <em>Cutibacterium acnes</em> ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดไม่ใช้ออกซิเจน(anaerobic bacterium) เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิวอักเสบ ซึ่งถือเป็นปัญหาผิวหนังที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วไป ในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยได้หาค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโต (Minimum Inhibitory Concentration, MIC) และความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถฆ่าเชื้อ (Minimum Bactericidal Concentration, MBC) โดยใช้วิธี broth macro-dilution ที่ความเข้มข้นของสารสกัดเท่ากับ 200 100 50 25 12.5 6.25 3.125 1.5625 และ 0.78125 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร สารสกัดหยาบจากดอกกุหลาบมอญที่ใช้ในการทดลองนี้ ได้มาจากการสกัดด้วยเอทานอล 95 เปอร์เซ็นต์ และให้ผลผลิตร้อยละ 6.41 ของน้ำหนักดอกกุหลาบมอญแห้งที่ใช้ในการสกัด<br /> ผลการทดลองพบว่า สารสกัดจากดอกกุหลาบมอญมีค่า MIC และ MBC เท่ากับ 6.25 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร (mg/mL) ซึ่งบ่งชี้ว่าสารสกัดนี้มีความสามารถในการยับยั้งการเจริญเติบโตและฆ่าเชื้อ <em>C. acnes</em> ได้ที่ระดับความเข้มข้นดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เมื่อนำผลการทดสอบมาเปรียบเทียบกับยาปฏิชีวนะเตตราไซคลีน พบว่ายาปฏิชีวนะเตตราไซคลีนมีค่า MIC และ MBC ที่ต่ำกว่าสารสกัดดอกกุหลาบมอญ คือ 30 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร (µg/mL) แสดงให้เห็นว่ายาปฏิชีวนะเตตราไซคลีนมีประสิทธิภาพสูงกว่าสารสกัดดอกกุหลาบมอญอย่างมีนัยสำคัญ แต่การรักษาสิวโดยเฉพาะสิวอักเสบในปัจจุบันมีการใช้ยาปฏิชีวนะ มีประสิทธิภาพสูง แต่การใช้ยาปฏิชีวนะต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจนำไปสู่ปัญหาเชื้อดื้อยา <br /> ดังนั้นสารสกัดดอกกุหลาบมอญ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหรือยารักษาสิวในอนาคต การใช้สารสกัดธรรมชาติอาจช่วยลดการใช้ยาปฏิชีวนะ และลดความเสี่ยงของการเกิดเชื้อดื้อยา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้ป่วยในระยะยาว</p> กิตติพงษ์ สงสาร, ธิดา ไชยวังศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/262696 Sat, 20 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับทักษะในการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ปลอดภัย ของนักศึกษา คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยปทุมธานี https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/263618 <p> การวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับทักษะการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ปลอดภัยของนักศึกษา คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยปทุมธานี กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 146 คน ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล ความรู้การใช้กฎจราจร มีค่า KR20 เท่ากับ 0.85 และ ทักษะการขับขี่รถจักรยานยนต์ มีค่าความเชื่อมั่น 0.88 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้สถิติไคสแควร์<br /> ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยด้านความรู้ มีความสัมพันธ์กับทักษะการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ปลอดภัยของนักศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถใช้เป็นแนวทางกำหนดนโยบายการส่งเสริมความรู้ในการใช้กฎจราจรอย่างปลอดภัยในมหาวิทยาลัยให้แก่นักศึกษา เพื่อสร้างความตระหนักในการขับขี่จักรยานยนต์อย่างปลอดภัย ซึ่งจะนำไปสู่การมีทักษะการขับขี่จักรยานยนต์ที่ดีและปลอดภัยของนักศึกษาต่อไป</p> สิทธิชัย สิงห์สุ, ณิชาภัทร เพ่งพัฒน์, กนกวรรณ ม่วงพูล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/263618 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับผลการปฏิบัติตามมาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร (COVID Free Setting) ของโรงพยาบาล ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรค COVID-19 ในประเทศไทย กรณี โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/263895 <p> ประเทศไทยกำหนดมาตรการ COVID Free Setting (CFS) เพื่อควบคุมปัจจัยเสี่ยง 3 ด้าน (สิ่งแวดล้อม ผู้ให้บริการ และผู้รับบริการ) ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยสถานที่เสี่ยงซึ่งรวมกลุ่มบุคคล เช่น โรงพยาบาล ต้องประเมินความปลอดภัย การวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) ที่ใช้วิธีการเก็บข้อมูลแบบหลากหลายวิธี (Multi-methodology) ครั้งนี้ ได้ศึกษาเชิงปริมาณแบบภาคตัดขวางเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่สัมพันธ์กับผลการปฏิบัติตามมาตรการ CFS ของโรงพยาบาล และมาตรการที่ไม่สามารถดำเนินการได้ โดยใช้ข้อมูลผลการประเมินตนเองตามมาตรการ CFS ของโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 9,276 แห่ง ในดิจิทัลแพลตฟอร์ม Thai Stop COVID Plus วิเคราะห์ด้วยการทดสอบแบบฟิชเชอร์ (Fisher’s Exact Test) และแจกแจงความถี่แบบ Cross-tabulation มีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพเกี่ยวกับกลไกขับเคลื่อนมาตรการด้วยกลยุทธ์ Partnership Investment Regulation Advocacy and Building capacity (PIRAB) เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำข้อเสนอแนวทางดำเนินการในอนาคต<br /> ผลการศึกษา พบว่าประเภทโรงพยาบาล และการรับรองตามเกณฑ์มาตรฐาน GREEN and CLEAN Hospital (GCH) มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) กับผลการปฏิบัติตามมาตรการ CFS ของโรงพยาบาล โดยประเภทโรงพยาบาลมีความสัมพันธ์กับผลการปฏิบัติตามมาตรการ CFS ทั้งในภาพรวม และทุกด้านของมาตรการ ส่วนการรับรองตามเกณฑ์มาตรฐาน GCH มีความสัมพันธ์กับผลการปฏิบัติตามมาตรการ CFS ในภาพรวม ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านผู้ให้บริการ โดยไม่พบความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&gt;0.05) กับด้านผู้รับบริการ ซึ่งพบว่าโรงพยาบาลไม่สามารถทำให้บุคลากรทุกคนคัดกรองความเสี่ยงก่อนเข้าปฏิบัติงานทุกวัน และลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ ร้อยละ 0.2 ไม่ทำความสะอาดฆ่าเชื้อ พื้นผิวสัมผัสร่วม และไม่กำกับติดตามให้ผู้รับบริการทุกคนปฏิบัติ Universal Prevention for COVID-19 และ Distancing Mask wearing Hand washing Testing and Application (DMHTA) ร้อยละ 0.1 โรงพยาบาลขนาดใหญ่ไม่มีระบบระบายอากาศที่ดี ร้อยละ 1.0 และโรงพยาบาลขนาดเล็กไม่ตรวจหาเชื้อ COVID-19 ในผู้ป่วยก่อนทำหัตถการที่มีความเสี่ยง ร้อยละ 0.4 ส่วนกลยุทธ์ PIRAB เหมาะสมเป็นกลไกขับเคลื่อนมาตรการสำหรับโรงพยาบาล มีข้อเสนอแนะว่าควรพิจารณาประเภทโรงพยาบาลในการกำหนดมาตรการ ให้ความสำคัญกับระบบระบายอากาศภายในอาคารโรงพยาบาล และควรผนวกมาตรการ CFS ในเกณฑ์มาตรฐาน GCH</p> นวรัตน์ อภิชัยนันท์, รุจิรา ไชยด้วง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/263895 Wed, 05 Nov 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาลำดับความสำคัญของปัจจัยการเตรียมความพร้อมการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินยานยนต์พลังงานไฟฟ้า (Battery Electric Vehicle: BEV) ของสถานีดับเพลิงในเขตลาดกระบัง https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/263992 <p>ความปลอดภัยจากการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นในการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินระดับความพร้อมในการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินยานยนต์พลังงานไฟฟ้าของสถานีดับเพลิงในเขตลาดกระบัง และเพื่อวิเคราะห์ลำดับความสำคัญของปัจจัยที่ส่งผลต่อความพร้อมดังกล่าว โดยใช้แบบสอบถามสำรวจและการวิเคราะห์ข้อมูลเจ้าหน้าที่ดับเพลิงรวมกับการตรวจสอบรายการอุปกรณ์ ผลการวิจัยพบว่า บุคลากรมีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานด้านการดับเพลิงสูง และได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับยานยนต์พลังงานไฟฟ้าในระดับมาก แต่อุปกรณ์บางประเภทและคู่มือแนวทางการรับมือเหตุฉุกเฉินยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเฉพาะรุ่นยังขาดแคลน การประเมินลำดับความสำคัญพบว่ามาตรฐานและขั้นตอนการปฏิบัติงาน เป็นปัจจัยหลักที่สำคัญที่สุด รองลงมาคือ อุปกรณ์และเทคโนโลยี และสุดท้ายคือ ความพร้อมของบุคลากร สะท้อนให้เห็นถึงจุดแข็งของสถานีดับเพลิงในด้านบุคลากร แต่ยังมีข้อจำกัดในด้านอุปกรณ์และระบบข้อมูลที่ต้องได้รับการปรับปรุง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินจากยานยนต์พลังงานไฟฟ้าได้อย่างครอบคลุม การวิจัยครั้งนี้จึงชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการพัฒนามาตรฐาน ขั้นตอนการปฏิบัติงานให้ครอบคลุมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าทุกรุ่น และอุปกรณ์เฉพาะ เช่น เครื่องตัดไฟฟ้าแรงสูง ถุงมือฉนวนไฟฟ้า อุปกรณ์รองรับแบตเตอรี่ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินจากยานยนต์พลังงานไฟฟ้าได้อย่างครอบคลุมและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น</p> กมลวรรณ พรมชู, เสรีย์ ตู้ประกาย, วรพล สงชุม, นันท์นภัสร อินยิ้ม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/263992 Mon, 17 Nov 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/264867 <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้วิจัยได้เลือกศึกษากลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในเครือข่ายหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิของโรงพยาบาลนครศรีธรรมราชมหาราช อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 387 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม โดยดัชนีความสอดคล้อง (IOC) มีค่าเท่ากับ 0.98 และค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถาม เท่ากับ 0.96 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอนุมาน และการถดถอยพหุคูณ<br /> ผลการศึกษาพบว่าอายุ, รายได้เฉลี่ยต่อเดือน, ความรู้ความเข้าใจทางสุขภาพ, การสื่อสารสุขภาพ, การตัดสินใจเลือกปฏิบัติที่ถูกต้อง, การจัดการตนเองเกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ, พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองด้านการบริโภคอาหาร, พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองด้านการใช้ยา, พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองด้านการไปพบแพทย์ตามนัด และ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง มีผลต่อค่าระดับน้ำตาลในเลือดช่วงอดอาหาร (Fasting Blood Sugar ;FBS) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (R<sup>2</sup> =0.632, p-value &lt; 0.05) และอายุ, การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ, ความรู้ความเข้าใจทางสุขภาพ, การสื่อสารสุขภาพ, การตัดสินใจเลือกปฏิบัติที่ถูกต้อง, การจัดการตนเองเกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ, ความรอบรู้ด้านสุขภาพภาพรวม, พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองด้านการจัดการกับความเครียด, พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองด้านการใช้ยา, พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองด้านการไปพบแพทย์ตามนัด และ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง มีผลต่อค่าระดับน้ำตาลในเลือดเฉลี่ยสะสม Glycated hemoglobin (HbA1c) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (R<sup>2</sup> =0.712, p-value &lt; 0.05)<br /> ผลการศึกษาสามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายหรือกิจกรรมเชิงรุกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในระดับพื้นที่</p> นฤมล รอดพันธุ์ชู ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/264867 Tue, 09 Dec 2025 00:00:00 +0700