วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST
วารสารวิทยาศาสตรืและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี
มหาวิทยาลัยปทุมธานี
th-TH
วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี
2697-5289
<p>ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะใดๆ ที่นำเสนอในบทความเป็นของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว โดยบรรณาธิการ กองบรรณาธิการ และคณะกรรมการวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด มหาวิทยาลัย บรรณาธิการ และกองบรรณาธิการจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดหรือผลที่เกิดจากการใช้ข้อมูลที่ปรากฏในวารสารฉบับนี้ </p>
-
บทบรรณาธิการ
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/262288
<p> วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี ฉบับนี้เป็นเล่มที่ 1 ปีที่ 6 ประจำช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน พ.ศ. 2568 ซึ่งได้รวบรวมบทความวิชาการและบทความวิจัยคุณภาพจากหลากหลายสาขาทางวิทยาศาสตร์ ทั้ง วิทยาศาสตร์กายภาพ (Physical Science) วิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Biological Science) และ วิทยาศาสตร์การแพทย์ (Medical Science) เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่องค์ความรู้ใหม่และส่งเสริมการวิจัยในวงการวิชาการ ในฉบับนี้ประกอบด้วย บทความนิพนธ์ต้นฉบับ (Original Article) จำนวน 6 เรื่อง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ <strong>บทความวิชาการ (</strong><strong>Academic Article)</strong> จำนวน 2 เรื่อง ได้แก่ <em>"แนวทางการส่งเสริมการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ: การปรับตัวสู่ยุคความปกติถัดไป"</em> บทความนี้เสนอแนวทางปฏิบัติเพื่อส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุในบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลง และ "<em>การทบทวนวรรณกรรม: ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์และการรับรู้ต่ออันตรายจากบุหรี่ไฟฟ้า"</em> เป็นทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าและความตระหนักถึงผลกระทบต่อสุขภาพ <strong>บทความวิจัย (</strong><strong>Research Article)</strong> จำนวน 4 เรื่อง ได้แก่ <em>"อุบัติการณ์และปัจจัยที่ส่งผลต่อการใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำภายหลังการให้ยาระงับความรู้สึก โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช</em>" เป็นการศึกษา และวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนทางระบบทางเดินหายใจในผู้ป่วย <em>"การพยากรณ์จำนวนผู้ป่วยในกลุ่มผู้สูงอายุพลัดตกหกล้มของจังหวัดปทุมธานี" </em>นำเสนอแบบจำลองทางสถิติเพื่อคาดการณ์อุบัติการณ์การหกล้มในประชากรสูงวัย<em> "ความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบ โรคคอหอยอักเสบเฉียบพลัน และโรคตาอักเสบกับปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในจังหวัดปทุมธานี" ใน</em>ศึกษาผลกระทบของมลพิษทางอากาศต่อสุขภาพประชาชน และ <em>"ผลของโปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อชะลอความเสื่อมของไตในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง โรงพยาบาลเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี"</em> ประเมินประสิทธิภาพของโปรแกรมสุขศึกษาในผู้ป่วยโรคไตเพื่อให้สามารถดูแลตนเองได้<br> บทความทั้งหมดในฉบับนี้งสะท้อนถึงความร่วมมือทางวิชาการอันหลากหลาย ทางกองบรรณาธิการหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลงานวิจัยและบทความวิชาการในฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อ นักวิชาการ นักศึกษา บุคลากรทางการแพทย์ และผู้สนใจทั่วไป ทั้งในด้านการนำไปประยุกต์ใช้หรือต่อยอดการวิจัยในอนาคต<br> ผู้สนใจสามารถส่งบทความเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารฯ โดยศึกษารายละเอียดได้ที่ "คำแนะนำสำหรับผู้เขียน" ในเว็บไซต์วารสาร: https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST</p>
ผศ.ดร.นฤนาท ยืนยง
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-05-23
2025-05-23
6 1
-
อุบัติการณ์และปัจจัยที่ส่งผลต่อการใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำ ภายหลังการให้ยาระงับความรู้สึก โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/260176
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอุบัติการณ์และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดภาวะใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำในผู้ป่วยที่ได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่มีการใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำ หลังการได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย จำนวน 27 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลคือ แบบเก็บข้อมูลที่จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาการใช้ท่อช่วยหายใจซ้ำ โดยแบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านผู้ป่วย ด้านวิสัญญี และด้านการผ่าตัด วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าเฉลี่ย และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดภาวะใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำ โดยใช้สถิติไควสแควร์ และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน<br /> ผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยเป็นเพศชาย ร้อยละ 55.56 อายุเฉลี่ย 59.40 ปี และมีโรคประจำตัว ร้อยละ 77.78 การรักษาที่เกี่ยวข้องกับการใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำพบในผู้ป่วย ASA Class 3 เป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด ร้อยละ 59.26 การผ่าตัดส่วนใหญ่เป็นศัลยกรรมทั่วไป ร้อยละ 33.34 และระยะเวลาระงับความรู้สึกเฉลี่ยอยู่ที่ 136.67 นาที มีอัตราอุบัติการณ์ 3 ปีย้อนหลัง ปีพ.ศ. 2564-2566 เท่ากับ 0.16, 0.43 และ 0.47 ต่อผู้ป่วย 1,000 ราย ตามลำดับ ในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า อายุและโรคประจำตัวเป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสถานที่เกิดการใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ดังนั้น การพิจารณาอายุและโรคประจำตัวของผู้ป่วยที่รักษาในโรงพยาบาลก่อนการผ่าตัดจะสามารถลดอัตราการใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำได้</p>
กนกนุช ศิริธรรม
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-05-16
2025-05-16
6 1
28
40
-
การพยากรณ์จำนวนผู้ป่วยในกลุ่มผู้สูงอายุพลัดตกหกล้มของ จังหวัดปทุมธานี
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/261465
<p>งานวิจัยการพยากรณ์อนุกรมเวลานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคาดการณ์จำนวนผู้ป่วยในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปที่พลัดตกหกล้มของจังหวัดปทุมธานี ปี พ.ศ. 2567 และ 2568 โดยใช้ข้อมูลจำนวนผู้ป่วยในโดยรวมรายปีกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปที่พลัดตกหกล้มของจังหวัดปทุมธานี ระหว่างปี พ.ศ. 2561 ถึง 2566 ของกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค วิเคราะห์อนุกรมเวลาด้วยทฤษฎีระบบเกรย์ ตัวแบบ GM(1,1) และ GM(1,1)EPC (GM(1,1) ปรับค่าความผิดพลาด) พิจารณาความแม่นยำของตัวแบบด้วยค่าร้อยละความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์เฉลี่ย (mean absolute percentage error - MAPE) ผลการวิจัยพบว่า การพยากรณ์ปี พ.ศ. 2567 ตัวแบบ GM(1,1) และ GM(1,1)EPC มี [ค่า MAPE (ร้อยละ), ค่าพยากรณ์ (ราย), และอัตราการเพิ่มจากปี พ.ศ. 2566 (ร้อยละ)] [40.06, 736, 6.32] กับ [31.08, 1,160, 67.36] ตามลำดับ เมื่อนำค่าพยากรณ์ปี พ.ศ. 2567 จากทั้งสองวิธีไปสร้างตัวแบบ พบว่า สำหรับปี พ.ศ. 2567 และ 2568 การคาดการณ์ขั้นต่ำ 736 และ 1,170 รายตามลำดับ คือ และการคาดการณ์ขั้นสูง คือ 1,160 และ 2,063 ราย ตามลำดับ กล่าวได้ว่า ค่า MAPE ของตัวแบบอยู่ระหว่าง มากกว่าร้อยละ 20 ถึง 50 สามารถใช้พยากรณ์ได้สมเหตุสมผล</p>
ปิยพร ณ นคร
พิสิษฐพัฒน์ เจริญภักดี
วัฒนา ชยธวัช
วัชรพันธ์ ศรีสวัสดิ์
ชลดา จัดประกอบ
กัญญพัชร พุฒโสม
พิจิตรา ยืนยั่ง
สุริยพงศ์ กุลกีรติยุต
ไชยเสน พิศาลวาเลิศ
ธีระเศรษฐ์ ศรีประภัสสร
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-05-23
2025-05-23
6 1
41
52
-
ความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนผู้ป่วยกลุ่มโรคผิวหนังอักเสบ กลุ่มโรคคอหอยอักเสบเฉียบพลัน และกลุ่มโรคตาอักเสบ กับปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในจังหวัดปทุมธานี
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/261502
<p>ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผิวหนัง ลำคอ และดวงตา ทำให้จำนวนผู้ป่วยในกลุ่มโรคเหล่านี้มีจำนวนเพิ่มขึ้น งานวิจัยเชิงสำรวจความสัมพันธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างฝุ่นละอองขนาดเล็กกับจำนวนผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบ โรคคอหอยอักเสบเฉียบพลัน และโรคตาอักเสบในจังหวัดปทุมธานี ข้อมูลจำนวนผู้ป่วยรายเดือนและปริมาณฝุ่นละอองเฉลี่ยรายเดือนมาจากรายงานกระทรวงสาธารณสุขและกรมควบคุมมลพิษ ตามลำดับ เป็นข้อมูลรายเดือนตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 ถึงเดือนกันยายน 2567 รวมทั้งสิ้น 45 เดือน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สหสัมพันธ์เพียร์สัน และแบบจำลองเชิงเส้นทั่วไป ประมวลผลด้วยซอฟต์แวร์วิเคราะห์สถิติ jamovi ร่วมกับโมดูล GAMLj ผลการศึกษาพบว่า จำนวนผู้ป่วยคอหอยอักเสบเฉียบพลันรายเดือนและปริมาณฝุ่นละอองเฉลี่ยรายเดือนมีสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สันต่ำมาก แบบจำลองการถดถอยทวินามเชิงลบที่เหมาะสมที่สุดกับข้อมูลแสดงค่าเฉลี่ยรายเดือนที่ 1,946 ราย และมีอัตราการความเสี่ยงการเกิดโรค ถ้าค่า PM10 รายวันเฉลี่ยรายเดือนเพิ่มขึ้น 1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จะมีผู้ป่วยคออักเสบเฉียบพลันต่อดือนเพิ่มขึ้น 1.034 เท่าหรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4</p>
รังสฤษฎ์ สุนัน
ดรุณี รอดมา
ปิยพร ณ นคร
สุรีพร พ่วงพงษ์
กรองแก้ว หนูอิ่ม
วัชรพันธ์ ศรีสวัสดิ์
ไชยเสน พิศาลวาเลิศ
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-05-23
2025-05-23
6 1
53
66
-
ผลของโปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อชะลอความเสื่อมของไตในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง โรงพยาบาลเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/261928
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) รูปแบบการวิจัยแบบวัดซ้ำหนึ่งกลุ่ม ก่อนทดลอง - หลังการทดลอง (one group pre-test post-test design) วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อชะลอความเสื่อมของไตในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่มารับบริการคลินิกโรคไตเรื้อรัง โรงพยาบาลเลาขวัญ ปี 2567 จำนวน 45 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ โปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อชะลอความเสื่อมของไตในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง และแบบสอบถาม วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสถิติเชิงอนุมาน โดยใช้สถิติ paired t – test<br />ผลการศึกษา พบว่า หลังการทดลองคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความรุนแรงของโรคไตเรื้อรัง (= 5.80, p-value <0.001) การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง (= 6.31, p-value <0.001) คาดหวังในประสิทธิผลของการตอบสนองที่เกิดจากผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง (= 5.62, p-value <0.001) การรับรู้ความสามารถของตนเองในการป้องกันโรคไตเรื้อรัง (= 5.49, p-value <0.001) และพฤติกรรมการปฏิบัติตัวเพื่อชะลอการเสื่อมของไต (= 9.67, p-value <0.001) สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <br />ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องควรติดตามผลหลังสิ้นสุดโปรแกรมในระยะยาว และส่งเสริมให้สมาชิกในครอบครัวมีบทบาทสำคัญในกระบวนการส่งเสริมพฤติกรรมของผู้ป่วย เพื่อให้เกิดแรงจูงใจและการปฏิบัติที่สอดคล้องกันในชีวิตประจำวัน</p>
นวลละออ พละเลิศ
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-05-23
2025-05-23
6 1
67
81
-
แนวทางการส่งเสริมการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ : การปรับตัวสู่ยุคความปกติถัดไป
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/260293
<p> การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในทุกมิติของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งเผชิญกับข้อจำกัดด้านสุขภาพ สังคม และเทคโนโลยี ส่งผลให้พฤติกรรมการออกกำลังกายและรูปแบบการดูแลสุขภาพต้องมีการปรับตัวเพื่อลดผลกระทบเชิงลบในระยะยาว บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางการส่งเสริมการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุในยุคความปกติถัดไป ผ่านการบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา เทคโนโลยีดิจิทัล และการสนับสนุนจากภาคครอบครัวและชุมชน โดยอาศัยการวิเคราะห์แนวโน้มพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุหลังโควิด-19 และแนวทางพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการออกกำลังกาย จากการวิเคราะห์พบว่า แนวทางการส่งเสริมการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้สูงอายุในยุคปัจจุบันควรประกอบด้วย 4 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ 1) การออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายที่ปรับตามข้อจำกัดเฉพาะบุคคล 2) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการมีส่วนร่วมและติดตามผล 3) การสร้างเครือข่ายสนับสนุนจากครอบครัว ชุมชน และช่องทางออนไลน์ และ 4) การพัฒนาสภาพแวดล้อมและนโยบายที่เอื้อต่อการออกกำลังกายในระดับโครงสร้าง โดยการบูรณาการองค์ความรู้ข้ามศาสตร์มีบทบาทสำคัญในการลดอุปสรรคที่ขัดขวางต่อการออกกำลังกายของผู้สูงอายุ และยังช่วยส่งเสริมการมีพฤติกรรมทางกายที่ยั่งยืน</p>
เตชภณ ทองเติม
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-05-15
2025-05-15
6 1
1
14
-
การทบทวนวรรณกรรม เรื่อง ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์และการรับรู้ต่ออันตรายจากบุหรี่ไฟฟ้า
https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/PTUJST/article/view/261057
<p> บุหรี่ไฟฟ้าหรือ บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic cigarette หรือ E-cigarette) ทุกประเภทเริ่มแพร่หลายโดยเฉพาะกับกลุ่มวัยรุ่นด้วยความเชื่อจากการโฆษณาชวนเชื่อว่าไม่มีสารนิโคติน ไม่มีอันตรายต่อตนเองและคนรอบข้าง สูบแล้วไม่ติด ทำให้มีนักสูบหน้าใหม่เข้าไปทดลองใช้มากขึ้น อย่างไรก็ดีเมื่อได้ทำการสูบบุหรี่ไฟฟ้าแล้วจะนำสารนิโคตินเข้าสู่ร่างกายจึงทำให้เกิดการเสพติดขึ้นได้ การสูบบุหรี่นั้นจะได้รับการโฆษณาจากหนังและภาพยนตร์ซึ่งส่งผลต่อความรู้สึกของเยาวชนที่คิดว่าเท่ และเป็นจุดเด่นจึงทำให้เริ่มมีการลองใช้บุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันเป็นที่นิยมในวัยรุ่นเพราะวัยรุ่นเป็นวัยที่เข้าสู่เทคโนโลยีได้ง่ายและบุหรี่ไฟฟ้าอาจสร้างความเชื่อที่ผิดกับวัยรุ่นไทย เช่น โก้เก๋ ทันสมัย เนื่องจากรูปลักษณ์สวยงาม ราคาแพง ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และไม่เป็นที่รังเกียจของคนรอบข้างเพราะไม่มีการเผาไหม้และไม่มีกลิ่นจากการเผาไหม้ แต่ในความเป็นจริงพบว่า บุหรี่ไฟฟ้าสามารถทำให้ผู้สูบติดได้และสารนิโคตินที่มีอยู่ในบุหรี่ไฟฟ้าจะถูกสูบเข้าสู่ปอดด้วยปริมาณที่มากกว่าบุหรี่ทั่วไป<br /> นอกจากนี้ยังพบว่าความรู้ การรับรู้ มีความสัมพันธ์ต่อการสูบบุหรี่ไฟฟ้าด้วยจากการทบทวนวรรณกรรมจากต่างประเทศ และในประเทศไทย แสดงให้เห็นเยาวชนยังขาดความรู้ และ ทัศนคติเกี่ยวกับการสูบบุหรี่ไฟฟ้าที่ยังไม่ถูกต้อง รวมทั้งในช่วงเวลาที่ผ่านมาพบว่าประเด็นในเรื่องความรอบรู้ทางสุขภาพกำลังเป็นประเด็นที่ศึกษาเป็นที่กว้างขวาง ประกอบด้วย ทักษะการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ ทักษะความรู้ ความเข้าใจ ทักษะการสื่อสารข้อมูลสุขภาพ โดยเฉพาะการรู้เท่าทันสื่อสืบเนื่องจากปัจจุบันการรับรู้สื่อข้อมูลข่าวสารต่างๆ เป็นไปอย่างง่ายดายมาก ดังนั้นบทความวิจัยที่ผู้ศึกษาได้รวบรวมนำมาเพื่อหาปัจจัยที่เกี่ยวข้องหรือเป็นสาเหตุของการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้า มาพัฒนาเป็นเครื่องมือวัดความรอบรู้ทางสุขภาพ เพื่อศึกษาสาเหตุของการที่เยาวชนสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพราะสาเหตุใด และนำผลที่ได้มาพัฒนาเป็นโปรแกรมเพื่อส่งเสริมป้องกันการสูบบุหรี่ต่อไป</p>
ชัญณัชชา บุญรัตน์
พันธะกานต์ ยืนยง
ณิชชารีย์ พิริยจรัสชัย
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยปทุมธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-05-16
2025-05-16
6 1
15
27